กทม.26 ก.พ.- โฆษก ตร. ยันไบโอเมทริกซ์ใช้งานคุ้มค่า เช็คจัดซื้อจัดจ้างได้ จับคนร้ายมาเกือบ 2 แสนคน ได้ค่าปรับมากกว่า 282 ล้าน
พลตำรวจโทปิยะ อุทาโย โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ชี้แจงถึงการดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจพิสูจน์บุคคลด้วยเทคโนโลยีไบโอเมทริกซ์ หลังจากมีการให้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับโครงการต่างๆ จนอาจทำให้เกิดความคลาดเคลื่อน โดยยืนยันว่าโครงการดังกล่าวเป็นโครงการที่ใช้คัดกรองบุคคลที่เดินทางเข้าออกประเทศที่ใช้งานกันแพร่หลายในต่างประเทศ สามารถบันทึกข้อมูลลายนิ้วมือและภาพถ่ายใบหน้าเพื่อยืนยันตัวบุคคลอย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพ ทำให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองตั้งคณะทำงานศึกษาโครงการนี้มาตั้งแต่ปี 2558 กระทั่งปี 2560 ได้ตั้งโครงการนี้ขึ้นมาด้วยวงเงินกว่า 2,126 ล้านบาท ใช้เงินจากการเก็บค่าธรรมเนียบมตรวจคนเข้าเมืองมาใช้ดำเนินการ
จากนั้นได้เสนอให้มีการพิจารณาความคุ้มค่าของโครงการตามขั้นตอนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จนที่สุด กิจการร่วมค้าเอ็มที เป็นผู้ชนะการประมูลงานในราคา 2,116 ล้านบาท ต่ำกว่าราคากลางที่กำหนดไว้ และทำสัญญาแบ่งมอบงานเป็น 6 งวด แต่ได้ขยายเวลาไปอีก 59 วัน และนัดส่งมอบงานเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2562 ซึ่งเป็นไปตามกรอบเวลา
การส่งมอบงานล่าช้ากว่ากำหนด เนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยที่ท่าอากาศยานอุบลราชธานี กำลังมีการปรับปรุงพื้นที่ ทำให้ส่งงานไม่ได้จึงขยายเวลาและผู้รับเหมาก็ส่งงานได้ตามเวลาจึงไม่มีการปรับค่าส่งงานล่าช้าส่วนมูลค่าของโครงการนี้ที่มีการกล่าวหาว่าแพงเกินจริงนั้น ยืนยันว่าเป็นโครงการที่มีความคุ้มค่าและจัดทำราคากลางเป็นไปตามระเบียบสามารถตรวจสอบได้ ส่วนราคากล้องที่ใช้ที่มีผู้ตรวจสอบว่าราคาแพงกว่าท้องตลาดนั้น เพราะว่ากล้องที่ใช้ในอุปกรณ์มีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ทั้งโปรแกรมหรือการบำรุงรักษา กรณีก่อนหน้านี้ พลตำรวจโทสุรเชษฐ์ หักพาล อดีตผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เปิดเผยว่าเป็นโครงการที่ไม่คุ้มค่า และฟังก์ชั่นการใช้งานใช้ได้ไม่ครบถ้วนตามที่ได้ตกลงซื้อไว้ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยืนยันว่า มีการใช้งานได้ แต่บางฟังก์ชั่นอาจจะต้องเชื่อมโยงกับระบบเก่าที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเคยใช้อยู่ และหากมีการร้องเรียนให้สำนักงาน ป.ป.ช.ตรวจสอบความคุ้มค่าก็สามารถทำได้ ซึ่งทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็พร้อมชี้แจงทั้งหมดแล้ว
ขณะเดียวกันที่ผ่านมา เครื่องไบโอเมทริกซ์ได้บันทึกบุคคลเข้าออกประเทศไปแล้วกว่า 59 ล้านคน จับผู้ต้องหาตามหมายจับได้ 3,319 คน พบบุคคลตามบัญชีดำและบัญชีเฝ้าระวัง 5,744 คน ตรวจจับผู้อยู่เกินกำหนด 179,985 คน และได้เงินค่าปรับมาแล้วกว่า 282 ล้านบาท.-สำนักข่าวไทย