กรุงเทพฯ 23 ก.พ. – วายแอลจีปรับเป้าราคาทองปี 63 เป็น 25,500-27,000บาท ชี้ไวรัสโควิด19-ความไม่สงบตะวันออกกลาง-บาทอ่อนหนุนทองคำพุ่ง
นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) เปิดเผยถึงสถานการณ์ราคาทองคำที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 7 ปี ว่า ภาพรวมปีนี้ราคาทองคำยังคงเคลื่อนไหวทิศทางขาขึ้น หลังจากผ่าน 1,616 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของราคาทองคำเดือนมีนาคม 2556 และเป็นกรอบแนวต้านแรกของปีนี้ที่เคยประเมินไว้ ทำให้ราคามีแนวโน้มปรับตัวขึ้นต่อ โดยจะมีโอกาสที่ราคาทองคำจะปรับตัวสูงขึ้นสู่ระดับ 1,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากผ่านได้จะมีแนวต้านถัดไปอยู่ในโซน 1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นโซนระดับสูงสุดของราคาช่วงเดือนกุมภาพันธ์กันยายน และตุลาคม ปี 2555 และเป็นจุดที่ราคาทดสอบหลายครั้ง แต่ไม่สามารถผ่านได้
ส่วนราคาทองคำในประเทศ คาดว่าจะยังคงได้รับแรงหนุนเพิ่มเติมจากการอ่อนค่าของค่าเงินบาท เนื่องจากปัญหาภัยแล้งกระทบต่อกำลังซื้อของเกษตรกร การระบาดของไวรัส COVID-19 กระทบต่อภาคท่องเที่ยงหลังจากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนหายไป ซึ่งส่งผลให้จีดีพีลดลงอย่างมีนัยสำคัญ การชะลอตัวทางเศรษฐกิจเพิ่มโอกาสที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเพิ่มเติมอีก ซึ่งจะยิ่งเป็นปัจจัยกดดันให้ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบของการอ่อนค่า จึงเพิ่มโอกาสที่ราคาทองคำในประเทศจะแตะระดับ 25,500-27,000 บาทต่อบาททองคำภายในปีนี้
“ปีนี้เป็นปีที่ราคาทองคำทะยานขึ้นนับตั้งแต่ต้นปี โดยราคาทองคำตลาดโลก หรือ Gold Spot ปรับตัวสูงขึ้น 118 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือเพิ่มขึ้น 7.78 % จากราคาเปิด 1,517 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สู่ระดับ 1,635 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 7 ปี” นางพวรรณ์ กล่าว
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนปี 2563 สามารถหาจังหวะเข้าซื้อใกล้บริเวณแนวรับ 1,545 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 23,100 บาทต่อบาททองคำ และทยอยแบ่งพอร์ตเพื่อขายทำกำไรเป็นระยะ โดยขายทำกำไรบริเวณแนวต้าน 1,700-1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 25,500-27,000 บาทต่อบาททองคำ อย่างไรก็ตาม หากหลุดแนวรับ 1,545 ดอลลาร์ต่อออนซ์ควรตัดขาดทุนบางส่วนแล้วถอยจุดซื้อไปยังแนวรับถัดไปบริเวณ 1,445 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 21,600 บาทต่อบาททองคำ.-สำนักข่าวไทย