ภูมิภาค 12 ก.พ. – ผู้ว่าฯ โคราช มอบเงินเยียวยาก้อนแรกให้ผู้บาดเจ็บและครอบครัวผู้เสียชีวิตเหตุกราดยิงโคราช ตั้งเป้าหากยอดบริจาคถึง 50 ล้านบาท จะมอบให้ผู้เสียชีวิตรายละ 1 ล้านบาท ด้านสมาคมผู้ประกอบการรักษาความปลอดภัยฯ เร่งผลักดันกฎหมาย รปภ. เพิ่มการช่วยเหลือและสวัสดิการ
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สั่งตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจ โดยให้ตนเป็นประธาน นำเงินจากคณะกรรมการกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัยไปช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุกราดยิงที่ จ.นครราชสีมา ทั้ง 2 กลุ่ม คือ เจ้าหน้าที่ของรัฐ และประชาชนทั่วไป ภายใต้หลักเกณฑ์ 4 ข้อคือ เสียชีวิต, บาดเจ็บสาหัส, บาดเจ็บไม่สาหัส และได้รับผลกระทบทางด้านจิตใจ รวมถึงจะพิจารณาความเสียหายของทรัพย์สินต่างๆ ด้วย โดยจะนำมาหารือในรายละเอียดอีกครั้ง โดยการให้ความช่วยเหลือดังกล่าวเป็นไปตามกฎหมาย 2 ฉบับ คือการสงเคราะห์ผู้ประสบภัยของกระทรวงการคลัง และกฎหมายการช่วยเหลือผู้เสียหายของกระทรวงยุติธรรม ซึ่งเป็นเงินช่วยเหลือที่ไม่มากนัก และยังมีระเบียบของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ที่จะช่วยในลักษณะการไปเยี่ยม นำจิตแพทย์และแพทย์ไปดูแลทุกเดือน
หากผู้ได้รับผลกระทบเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐจะมีกฎระเบียบแยกต่างหาก เช่น หากเสียชีวิต ได้รับเงินเดือนทวีคูณ 7 เท่า เลื่อนชั้นยศ รับบุตร 1 คน เข้ารับราชการโดยไม่มีเงื่อนไข ซึ่งรัฐบาลมองว่าความสูญเสียที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ เกิดขึ้นทั้งเจ้าหน้าที่รัฐและผู้บริสุทธิ์ จึงต้องเยียวยาให้สมน้ำสมเนื้อ โดยอาจเทียบเท่ากับวงเงินที่เคยชดเชยให้ในเหตุการณ์ราชประสงค์ รายละ 1 ล้านบาท แต่ยังต้องรอการพิจารณาจากคณะกรรมการอย่างละเอียดอีกครั้ง คาดจะได้รับความชัดเจนเร็วๆ นี้
ด้านนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นำเงิน 1 ล้านบาท มอบผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ประสบเหตุ พร้อมทั้งเป็นตัวแทนรัฐบาลกล่าวแสดงความเสียใจและให้กำลังใจผู้เกี่ยวข้อง พร้อมย้ำทุกภาคส่วนเร่งฟื้นฟูเยียวยาเพื่อเรียกความเชื่อมั่นให้กลับคืนมาเร็วที่สุด
ในจำนวนผู้ได้รับบาดเจ็บ 58 คน จากเหตุการณ์กราดยิงในพื้นที่โคราช ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 23 คน มีเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่างๆ เข้าเยี่ยมปลอบขวัญทุกวัน ส่วนอีก 35 คน ที่ออกจากโรงพยาบาลแล้ว วันนี้นายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ได้สั่งการให้เหล่ากาชาดจังหวัดไปเยี่ยมมอบเงินช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บทุกคน น้องคนนี้เป็นนักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนบุญวัฒนา ชื่อนายณโชติ โชติกลาง หลังเลิกเรียนแม่ขับรถไปรับ ระหว่างขับผ่านบริเวณวัดป่าศรัทธารวม สังเกตเห็นคนร้ายลงจากรถจิ๊บทหารมาก่อเหตุ ยิงถูกนางนริศรา โชติกลาง แม่ของตัวเองจนเสียชีวิต รถเสียหลักชนต้นไม้ ตัวเองที่นั่งอยู่ด้านหลัง มีอาการบาดเจ็บจากสะเก็ดลูกปืนบริเวณด้านหลัง ต้องนอนโรงพยาบาลถึง 4 วัน
ขณะที่สามีภรรยาชาวชุมชนบึงพญาปราบ ตำบลบ้านเกาะ อำเภอเมืองนครราชสีมา คู่นี้ประสบเหตุขณะขับรถผ่านหน้าห้างเทอร์มินอล 21 สังเกตเห็นคนนอนจมกองเลือด ได้ยินเสียงปืนรัว รถของตัวเองถูกยิง จึงจอดริมทางตรวจสอบ ระหว่างนั้นได้ยินเสียงปืนรัวขึ้นมาอีกชุด จึงรีบขึ้นรถขับออกไป ภรรยาซึ่งกำลังตั้งครรภ์ 8 เดือน รู้สึกเจ็บตรงท้ายทอย จึงให้หมอเอกซเรย์ แล้วรับยากลับไปทานที่บ้าน โดยนอกจากพบรอยกระสุนตรงกระจกประตูหลังด้านซ้ายแล้ว ยังพบรอยกระสุนทะลุมาโผล่ตรงที่รองศีรษะเบาะนั่งข้างคนขับด้วย ส่วนผู้บาดเจ็บบางรายกลับไปทำงานที่กรุงเทพฯ แล้ว เจ้าหน้าที่จึงมอบเงินช่วยเหลือให้ญาติแทน
ขณะที่กองทุนช่วยเหลือผู้ประสบเหตุเทอร์มินอล 21 มีผู้บริจาคเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดยอดเงินพุ่งสูงกว่า 38 ล้านบาท โดยวันนี้นายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ได้นำเงินสดไปมอบแก่ผู้บาดเจ็บที่ยังรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา และโรงพยาบาลต่างๆ รวม 23 ราย รายละ 100,000 บาท พร้อมทั้งมอบเงินเยียวยาแก่ญาติผู้เสียชีวิตอีก 19 ราย รายละ 300,000 บาท เพื่อนำไปช่วยเป็นค่าใช้จ่ายจัดงานฌาปนกิจศพ โดยผู้ว่าราชการจังหวัดได้แสดงความขอบคุณน้ำใจไปยังคนไทยทั้งในและต่างประเทศ ที่ช่วยเหลือกันในยามทุกข์ยาก ตอนนี้ยังขอเปิดรับบริจาคต่อไป ตั้งเป้าหากยอดเงินถึง 50 ล้านบาท จะพิจารณาร่วมกันว่าจะจ่ายเงินให้แก่ครอบครัวผู้เสียชีวิตรายละ 1 ล้านบาท เพื่อเยียวยาความสูญเสีย ย้ำเงินบริจาคจะถูกนำไปช่วยเหลือเหยื่อจากเหตุการณ์ครั้งนี้ทั้งหมด
นายอนุพงศ์ สุขสมนิตย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้เข้ามอบเงินเยียวยาจำนวน 11,000 บาท ให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิตจากเหตุกราดยิงที่โคราช คือนายอธิวัฒน์ พรมสุข หรือเดียร์ อายุ 18 ปี นักศึกษา ปวช.ปี 3 วิทยาลัยเทคนิคนครราชสีมา และนายวันชัย เวชวรรณ์ หรือใหญ่ อายุ 41 ปี หัวหน้าพนักงานคาร์แคร์ ในห้างเทอร์มินอล 21 โดยในส่วนของนายวันชัย ยังได้เงินจากสำนักงานประกันสังคมอีก 52,085.46 บาท
ด้านสมาคมผู้ประกอบการรักษาความปลอดภัยแห่งประเทศไทยได้มอบเงินให้กับครอบครัว รปภ. ที่เสียชีวิต และบาดเจ็บ โดยมองว่า รปภ. เป็นอาชีพที่มีความเสี่ยง เป็นด่านแรกในการเผชิญเหตุ ควรมีสวัสดิการและการตั้งกองทุนดูแลช่วยเหลือให้ชัดเจนกว่านี้ ซึ่งจะเร่งผลักดันให้เพิ่มสาระของกฎหมายในส่วนนี้เข้าสภาโดยเร็ว
ในความสูญเสียจากเหตุกราดยิงที่โคราช ก็ยังมีเรื่องราวน่าประทับใจเกิดขึ้น ผู้ใช้เฟซบุ๊กบัญชี “supavadee klangsoonneon” ได้โพสต์ภาพและข้อความระบุว่า “วันนี้เพื่อนเข้าไปเก็บร้าน เพื่อนถ่ายมาให้ดู เห็นภาพกลั้นน้ำตาไม่อยู่จริงๆ ยังมีความรักอยู่ในเพื่อนมนุษย์ ยังมีความเห็นใจกัน เราแค่คิด ให้เจ้าหน้าที่ทานไปเลยนะ นี่พี่เขาวางเงินไว้ ขอบคุณที่ทำให้รู้ว่า ในความเลวร้าย ยังมีเรื่องราวดีๆ ให้จดจำ รักเลย” พร้อมอีโมจิรูปหัวใจสองดวง เมื่อภาพนี้ถูกแชร์ออกไปชาวโซเชียลต่างให้ความเห็นว่าอดยิ้มตามไม่ได้ ถึงแม้จะอยู่ในภารกิจที่เสี่ยงอันตราย แต่เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการก็ยังมีศีลธรรม
ส่วนหนึ่งเรื่องราวดีๆ ผู้ใช้เฟซบุ๊ก Apichai Teh ซึ่งเป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่หน่วยปฏิบัติการพิเศษภาค 3 ได้ออกมาโพสต์รับว่า ทีมเจ้าหน้าที่ได้แอบหยิบชมพู่ของร้านค้าในชั้น G เพื่อรองท้องระหว่างปฏิบัติภารกิจ “เจ้าหน้าที่ทุกนายที่อยู่ข้างในวันนั้น ไม่มีน้ำ ไม่มีข้าว ไม่มีเวลาจะเตรียมตัว แต่กองทัพต้องเดินด้วยท้อง พวกเราขออาศัยที่พึ่งจากร้านพี่ๆ ป้าๆ เหล่านี้ล่ะครับ พอได้มีแรงสู้ต่อ” ด้านเเม่ค้าร้านชมพู่ ซึ่งคือผู้ใช้เฟสบุ๊ก “พลอย. วัชราภรณ์” ได้ออกมาตอบกลับโพสต์ของเจ้าหน้าที่ทันที เพื่อปฏิเสธรับเงินเ เละขอขอบคุณที่ช่วยชีวิตตนเองเเละครอบครัวให้หนีออกมาจากห้างฯ ได้อย่างปลอดภัย
ตำรวจศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและสารสนเทศ ตำรวจภูธรภาค 5 จับกุมหนุ่มวัย 22 ปี ชาวเชียงใหม่ ที่โพสต์ข้อความไม่เหมาะสม รู้สึกบ้า เมื่อวานที่โคราช วันนี้น่าจะเชียงใหม่ พร้อมมีภาพอาวุธปืนและเครื่องกระสุน ทำให้ประชาชนเกิดความตกใจกลัว และโพสต์ข้อความเข้าไปเขียนด่าเจ้าตัวจำนวนมาก จนต้องปิดเฟซบุ๊กหนี เจ้าตัวเองยังกลัวไม่มีความปลอดภัย หลังถูกจับกุมรู้สึกผิดและได้ขอโทษต่อสังคมและทุกคน ที่ทำลงไปเพราะเมา ขาดสติ เนื่องจากทวงเงินจากเพื่อนไม่ได้จึงระบาย และไม่คิดว่าเหตุการณ์จะใหญ่โตจนได้รับความเดือดร้อนไปหมด รวมทั้งครอบครัวด้วย รู้สึกสำนึกผิดเป็นอย่างมาก และจะไม่ทำอีก
พันตำรวจเอกธวัชชัย พงศ์วิวัฒน์ชัย รองผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 5 บอกว่า เจ้าตัวเองก็สำนึกผิด และยังได้รับผลกระทบไปถึงครอบครัว จนขายของไม่ได้ เนื่องจากมีชาวบ้านไม่พอใจเยอะมาก เจ้าตัวก็สำนึกผิด ไม่อยากให้มีใครทำแบบนี้อีก ขณะนี้ตำรวจอยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐานเพื่อดำเนินคดีหลายข้อหา ทาง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และประชาชนก็ไม่ควรเอาแบบอย่าง ส่วนอาวุธและเครื่องกระสุนที่โพสต์ก็ไม่มีจริง นำเอามาจากโซเซียส และนำมาโพสต์โชว์
นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวถึงกรณีมีบุคคลโพสต์ภาพอาวุธปืนและข้อความในเชิงข่มขู่จะใช้ความรุนแรงในลักษณะเดียวกับคนร้ายก่อเหตุกราดยิงผู้บริสุทธิ์ที่โคราชว่า เป็นการกระทำเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (2) ฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จโดยประการน่าจะเกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 392 ฐานทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัว หรือตกใจ โดยการขู่เข็ญ มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน ปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และที่สำคัญก็คือการกระทำลักษณะนี้จะกระทบต่อจิตใจของผู้คนในสังคม จึงย่อมต้องได้รับโทษทางสังคมด้วย ดังจะเห็นจากตัวอย่างว่าผู้กระทำบางคนถูกต้นสังกัดหรือนายจ้างมีคำสั่งเลิกจ้างทันที
ดังนั้น จึงขอเตือนให้ผู้ที่คิดจะกระทำการลักษณะนี้หยุดคิด หากมีความขุ่นข้องหมองใจจากเหตุที่ตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรม ไม่ว่าทั้งทางแพ่ง หรือ ทางอาญา สามารถขอรับคำปรึกษาได้จากอัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมาย สำนักงานอัยการสูงสุด หรืออัยการจังหวัด โดยอัยการยินดีให้คำปรึกษา แนะนำแนวทางแก้ไขให้ทุกฝ่าย เพื่อไม่ให้ตัวเองกลายเป็นคนทำผิดเสียเอง จนเกิดผลกระทบต่อตัวเองและครอบครัวในที่สุด.-สำนักข่าวไทย