“ทนายษิทรา” ได้ประกันตัว แจ้งความ ตร.ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

สมุทรสาคร 6 ก.พ. – “ทนายษิทรา” ได้ประกันตัว วงเงิน 100,000 คดีนำสืบพยานหลักฐานเท็จ หลังเข้ามอบตัวกับตำรวจ สภ.กระทุ่มแบน เมื่อช่วงเช้าวันนี้ และหลังให้ปากคำกับตำรวจ ทนายษิทราได้เข้าแจ้งความต่อเจ้าพนักงานสอบสวนถึงการละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของรองผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรกระทุ่มแบนนายหนึ่ง


วันนี้ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ได้เข้ามอบตัวกับตำรวจ สภ.กระทุ่มแบน อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร ตำรวจใช้เวลาในการสอบปากคำทนายษิทรา นานกว่า 3 ชั่วโมง ในคดีที่เกี่ยวกับยาเสพติดมาตรา 100/2 ข้อหานำสืบพยานหลักฐานเท็จ ภายหลังสอบปากคำเสร็จ ทีมงานทนายษิทรานำเงินสดขอยื่นประกันตัว โดยทางตำรวจได้อนุมัติให้ประกันตัวไปในวงเงิน 100,000 บาท 


หลังจากให้ปากคำกับตำรวจแล้ว ทนายษิทราได้เข้าแจ้งความต่อเจ้าพนักงานสอบสวนถึงการละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของรองผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรกระทุ่มแบนนายหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ว่าด้วย ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต  


สาเหตุมาจากเมื่อวันคืนวันที่ 5 กุมภาพันธ์ เวลาประมาณ 22.00 น. นายษิทราได้เดินทางเข้ามาแสดงตนขอมอบตัวต่อเจ้าพนักงานสอบสวน สภ.กระทุ่มแบน หลังจากที่ทราบว่าถูกออกหมายจับศาลจังหวัดสมุทรสาคร แต่ปรากฏว่าเมื่อมาถึง สภ.กระทุ่มแบน กลับไม่มีตำรวจคนไหนออกมารับมอบตัว ทั้งๆ ที่นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่คนดังกล่าวก็อยู่ในบริเวณดังกล่าวด้วย โดยอ้างเหตุว่า หมายจับศาลจังหวัดสมุทรสาครยังมาไม่ถึง และหมายจับยังไม่เรียบร้อย ต้องแก้ไขเอกสารเพิ่มเติม ทำให้นายษิทราต้องเดินทางกลับบ้านไปก่อน จนกระทั่งในช่วงเช้าปรากฏว่ามีตำรวจชุดสืบสวนฯ นำหมายค้นของศาลจังหวัดสมุทรสาคร เข้าตรวจค้นที่สำนักงานทนายความของนายษิทรา เพื่อควบคุมตัวบุคคลตามหมายจับ ทำให้นายษิทรา และผู้ที่เกี่ยวข้องเกิดความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง ดังนั้นจึงต้องการให้ดำเนินคดีกับนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ระดับรองผู้กำกับการสอบสวนคนดังกล่าว

นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม บอกว่า ไม่ได้คิดหนีไปไหน ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 10.38 น. ก็ได้เข้ามาลงบันทึกประจำวันไว้แล้วที่ สภ.กระทุ่มแบน ว่า “ผู้แจ้งถูกแจ้งความดำเนินคดีที่สถานีตำรวจภูธรกระทุ่มแบน โดยที่ผู้แจ้งมีภูมิลำเนาอยู่ที่อำเภอกระทุ่มแบน และมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง หากมีการดำเนินคดีต่อผู้แจ้ง ผู้แจ้งยืนยันว่าจะมาตามหมายเรียกของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยสามารถประสานได้ที่เบอร์ 087-6239999 แล้วขอให้สิบเวรรายงานผู้กำกับสถานีเพื่อทราบถึงความประสงค์ของผู้แจ้งด้วย” ต่อมายังได้เดินทางมาแสดงตนเพื่อขอเข้ามอบตัวตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา แต่ตำรวจไม่รับมอบและไม่ยอมควบคุมตัว ทั้งๆ ที่มีหน้าที่ในการที่จะต้องรับมอบตัวไว้ ไม่ควรที่จะมีข้ออ้างใดๆ ส่วนนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่นายนั้นได้เดินหนีไป ตนเชื่อว่ามีการกลั่นแกล้งกัน จนมาในช่วงเช้า มีการนำหมายค้นเข้าตรวจค้นที่สำนักงานของตน ทำให้เกิดความเสียหายเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงได้แจ้งความกลับแล้วไปพิสูจน์กับทาง ป.ป.ช. ต่อไป

นายนิพนธ์ จันทเวช เลขาธิการสภาทนายความ บอกว่า หากมีทนายความถูกดำเนินคดีอาญา แต่ว่ายังไม่มีผลการตัดสินคดีจากทางศาลถึงที่สุด และศาลอนุญาตให้ประกันตัว ทางทนายความคนดังกล่าวสามารถทำงานต่อได้ ไม่มีผลกระทบต่อคดีที่กำลังดูแลอยู่ ส่วนเรื่องการดูแลทนายของทางสภาทนายความนั้น หากมีการร้องเรียนของประชาชนเกี่ยวกับพฤติกรรมของทนายที่เข้าข่ายกระทำฝ่าฝืนมรรยาท จะมีการตั้งคณะกรรมการพิจารณาชี้ขาดว่าการกระทำของทนายความดังกล่าวผิดมรรยาทหรือไม่ ถ้ายังอยู่ระหว่างพิจารณา เรื่องยังไม่แล้วเสร็จ ทางทนายความที่ถูกร้องเรียนยังสามารถประกอบอาชีพได้ตามปกติ แต่เมื่อมีผลชี้ขาดมาแล้วว่าทนายคนใดผิดหลักมรรยาท การลงโทษหนักที่สุดคือลบชื่อออกจากทะเบียนทนายความ ไม่มีสถานะเป็นทนายความ ห้ามว่าความคดีต่อ หรือรับทำคดีอื่นๆ อีกต่อไป ส่วนคดีที่เคยได้ทำมีผลการตัดสินของศาลถึงที่สุดในอดีต จะไม่มีผลกระทบใดๆ ทั้งสิ้น

มาตรา 100/2 ของ พ.ร.บ.ยาเสพติดฯ ระบุว่า “ถ้าศาลเห็นว่าผู้กระทำความผิดผู้ใด ได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษต่อพนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจ หรือพนักงานสอบสวน ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นก็ได้”

นักวิชาการด้านกฎหมายให้ข้อมูลกับสำนักข่าวไทย อสมท ว่า กระบวนการทำหลักฐานเท็จ เบิกความเท็จ แล้วใช้ 100/2 มาแสวงหาผลประโยชน์ให้ตัวเอง หรือขบวนการซื้อบันทึกจับกุม หรือในวงการเรียกใบ 100/2 มีมาอย่างต่อเนื่อง อธิบายแบบง่าย ๆ คือ การที่จูงใจให้คนที่โดนจับกุมในคดียาเสพติดซัดทอดไปถึงตัวการค้ายาใหญ่ ๆ โดยบอกว่าถ้าใครโดนจับแล้วมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อตำรวจ พนักงานฝ่ายปกครอง หรือพนักงานสอบสวน (ที่เขาไม่รู้มาก่อน) แล้วทำให้เขาไปจับกุมพ่อค้ายารายใหญ่ได้ คนที่ให้ข้อมูลนั้นจะได้รับการลดหย่อนผ่อนโทษจากศาล โดยรับโทษในอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้ขั้นต่ำก็ได้  

กระบวนการที่แสวงหาผลประโยชน์นี้เริ่มจากการทำบันทึกจับกุมปลอม รวมถึงเบิกความเท็จในศาล  เช่น ผู้ต้องหา ก. ถูกตำรวจจับกุมในคดียาเสพติด ต่อมามีทนายของผู้ต้องหากับตำรวจมาติดต่อผู้ต้องหา ก. ว่าอยากได้รับการลดโทษลงไหม ถ้าสนใจให้จ่ายเงินมา เดี๋ยวจะไปซื้อใบ 100/2 มาให้ เมื่อผู้ต้องหาตกลง ตำรวจกับทนายของผู้ต้องหาจะไปหาดูว่าหลังจากนั้นมีคดีพ่อค้ายารายใหญ่ (ปริมาณยามากกว่าที่ผู้ต้องหาโดนจับ) โดนจับบ้างหรือไม่ ถ้ามี ตำรวจกับทนายผู้ต้องหาก็จะเข้าไปติดต่อชุดที่จับกุมพ่อค้ารายใหญ่ โดยบอกว่าในบันทึกจับกุมนั้นให้เขียนเพิ่มเติมว่า “การที่มาจับกุมพ่อค้ารายใหญ่นี้ ได้ข้อมูลเบาะแสที่เป็นประโยชน์จากผู้ต้องหา ก.”

หลังจากนั้น ทนายผู้ต้องหากับตำรวจจะนำบันทึกการจับกุมดังกล่าวไปเบิกความต่อศาลในคดีของผู้ต้องหา ก. เพื่อขอให้ศาลลดหย่อนผ่อนโทษให้ผู้ต้องหา ก.  โดยบอกว่า ผู้ต้องหา ก. ช่วยเหลือทางการให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ จนนำไปสู่การจับกุมพ่อค้ายาเสพติดได้ หากศาลเชื่อตามที่ตำรวจและทนายความผู้ต้องหาเบิกความ ก็จะได้ลดหย่อนผ่อนโทษลงให้ผู้ต้องหา ก. โดยอาศัยอำนาจตาม ม.100/2 ของ พ.ร.บ.ยาเสพติด นั่นเอง.- สำนักข่าวไทย 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง 

“ทนายตั้ม” มอบตัวตามหมายจับศาลสมุทรสาคร

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

มอบตัวแล้วอดีตเจ้าคณะตำบล ยิงเจ้าอาวาสวัดดัง จ.เลย

มหาสารคาม 6 ส.ค. – มอบตัวแล้วอดีตเจ้าคณะตำบล ยิงเจ้าอาวาสวัดในพื้นที่ อ.เชียงคาน จ.เลย บาดเจ็บ หลังหนีไปกบดานที่บ้านเกิด จ.มหาสารคาม ตำรวจตั้งข้อหาพยายามฆ่า จากกรณี พระอธิการมานพพร อายุ 47 ปี เจ้าอาวาสวัดโพนสว่าง และเจ้าคณะตำบลเขาแก้ว ขับรถยนต์หลบหนีไป หลังใช้ปืนจ่อยิงพระมหาโยธิน เจ้าอาวาสวัดป่าพัฒนาราม และเจ้าคณะตำบลจอมศรี จนได้รับบาดเจ็บ ขณะที่พระครูถาวรเทวธรรม เจ้าคณะตำบลธาตุ และเจ้าอาวาสวัดสวนธรรมเทวราช เจ้าคณะตำบลธาตุ ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ด้วย หลบหนีได้ทันจึงไม่ได้รับบาดเจ็บ เกิดเหตุในวัดพื้นที่ อ.เชียงคาน จ.เลย เมื่อวันที่ 4 ส.ค.ที่ผ่านมา ต่อมาศาลจังหวัดเลยอนุมัติหมายจับในข้อหา “พยายามฆ่าผู้อื่น และมีอาวุธปืน กระสุนปืน พกพาโดยไม่มีเหตุอันควร” วันนี้ ที่ห้องสืบสวน สภ.เมืองมหาสารคาม พระอธิการมานพพร หรือนายมานพพร ผู้ต้องหาก่อเหตุยิงพระ 2 รูป เข้ามอบตัว เนื่องจากถูกตำรวจกดดันอย่างหนัก เบื้องต้นให้การว่า วันเกิดเหตุมีการปรึกษากัน แต่ไม่ได้ทะเลาะ สาเหตุมาจากตนเองโดนกลั่นแกล้งจากทางพระทั้ง […]

แรงงานกัมพูชาแห่กลับประเทศ รัฐบาลขู่ยึดที่ดิน-ถอดสัญชาติ

6 ส.ค. – รัฐบาลกัมพูชาขู่ยึดที่ดินและถอดสัญชาติแรงงานที่ดื้ออยู่ไทย ส่งผลวันนี้ (6 ส.ค.) ชาวกัมพูชาแห่เดินทางกลับประเทศ ทำจุดผ่านแดนถาวรตลาดบ้านแหลม อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี รถติดยาว 8 กิโลเมตร ที่จุดผ่านแดนถาวรตลาดบ้านแหลม ต.เทพนิมิต อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี ตั้งแต่ช่วง 06.00 น. รถติดยาวเหยียดร่วม 8 กิโลเมตร ทั้งรถเช่าเหมา รถตู้ และรถรับจ้างที่ขนแรงงานชาวกัมพูชากลับประเทศ ส่วนภายในบริเวณตลาดบ้านแหลม ช่วงเวลา 07.00 น.ที่ผ่านมา ยังพบชาวกัมพูชาร่วมกว่า 20,000 คน ขนสัมภาระ ข้าวของ มารอเต็มหน้าด่าน มากกว่า 2-3 วันที่ผ่านมา ทั้งนี้ เป็นเพราะมีกระแสข่าวรัฐบาลกัมพูชาขู่จะออกมาตรการเอาจริงกับแรงงานกัมพูชาที่ยังดื้อไม่ยอมกลับประเทศก่อนวันที่ 10 สิงหาคมนี้ จะยึดที่ดินทำกินและถอดสัญชาติ คาดว่าจุดนี้จุดเดียวคนจะกลับกัมพูชาเฉียดครึ่งแสนคน แรงงานกัมพูชากลับประเทศ นายจ้างกลัวไปไม่กลับที่ตลาดสดแห่งหนึ่งใน อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี พบว่ายังมีแรงงานกัมพูชาก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ แต่มีสีหน้าเคร่งเครียดจากกระแสข่าวที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน แรงงานเล่าว่าไม่อยากกลับกัมพูชา กลับไปก็ไม่มีงานทำ ทางครอบครัวที่กัมพูชาก็โทรมาห่วงว่าคนไทยจะทำร้าย […]

เปิดภาพทหารไทยวางรั้วลวดหนามช่องอานม้า ตรึงกำลังเข้ม

6 ส.ค.- เปิดภาพทหารไทยวางรั้วลวดหนามช่องอานม้า พร้อมตรึงกำลังเข้ม ป้องกันทหารกัมพูชาตัดรั้วลวดหนาม รอบ 2 เมื่อวันที่ 6 ส.ค. 68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเจ้าหน้าที่ตรวจพบกำลังทหารกัมพูชาเข้ามาดำเนินการตัดลวดหีบเพลง ที่ทางฝ่ายไทยได้วางไว้เพื่อเสริมความมั่นคงในพื้นที่เขตอธิปไตยของไทย ณ บริเวณพื้นที่ตลาดช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวานนี้ (5 ส.ค.) โดยทางฝ่ายไทยได้ดำเนินการแจ้งให้ยุติการกระทำดังกล่าว พร้อมให้ถอยออกจากพื้นที่ ซึ่งฝ่ายกัมพูชาปฏิบัติตาม และได้ออกจากบริเวณดังกล่าวในทันที ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้เข้าดำเนินการกางลวดหีบเพลงให้เข้าสู่สภาพเดิม ปัจจุบันยังคงมีการตรึงกำลังที่ฐานปฏิบัติการในพื้นที่เขตอธิปไตยของไทย-สำนักข่าวไทย

เอาผิด 2 ข้อหา อดีตทหาร BHQ-เรียกภรรยาให้ข้อมูล

บุรีรัมย์ 6 ส.ค. – ผู้การบุรีรัมย์ เค้นสอบอดีตทหารองครักษ์พิทักษ์ฮุนเซน ยืนยันไม่ได้เป็นสายลับ หลังถูกจับพร้อมเครื่องแบบทหาร-อาวุธปืน เบื้องต้นตั้ง 2 ข้อหา พร้อมเรียกภรรยามาให้ข้อมูล จากกรณีตำรวจ สภ.ลำดวน จ.บุรีรัมย์ จับกุมนายวิน ดา ทหารเขมรชุด BHQ องครักษ์พิทักษ์ฮุน เซน ได้ในบ้านพักหลังหนึ่งใน อ.กระสัง ซึ่งเป็นบ้านของภรรยาชาวไทย พร้อมปืนลูกซองไทยประดิษฐ์และเครื่องกระสุนปืนลูกซองเบอร์ 12 จำนวน 3 นัด กระสุนปืนขนาด.38 อีก 3 นัด และเครื่องแบบทหารที่มีตราสัญลักษณ์ BHQ หลายรายการ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของทหารกัมพูชา หน่วยรบพิเศษ BHQ ซึ่งเป็นองครักษ์พิทักษ์สมเด็จฮุน เซน จึงควบคุมตัวมาสอบปากคำที่สถานีตำรวจภูธรลำดวน อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์ เพราะคาดว่าน่าจะเป็นสายลับเข้ามาฝังตัว ส่งความเคลื่อนไหวทางการทหารไทยให้ฝ่ายกัมพูชา รับเป็นทหารBHQ จริง แต่ไม่ใช่สายลับพล.ต.ต.ณรงค์ศักดิ์ พรหมทา ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ ลงพื้นที่สอบปากคำนายวิน ดา ด้วยตัวเอง ร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง […]