กรุงเทพฯ 30 ม.ค. – ปตท.สผ.เผยปี 62 กำไรสุทธิ 1,569 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 40 จากปริมาณการขายเพิ่มขึ้นจากการเข้าซื้อกิจการและเพิ่มการลงทุนในแหล่งบงกช ส่งผลสำรองปิโตรเลียมต่อการผลิต (R/P ratio) เพิ่มขึ้นจาก5 ปี เป็น 7.5 ปี ส่วนปี 63 ตั้งเป้าเพิ่มปริมาณการขายอีกร้อยละ 11
นายพงศธร ทวีสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. เปิดเผยว่า บริษัทมีรายได้รวมปี 2562 ที่ 6,413 ล้านดอลลาร์ สหรัฐ (เทียบเท่า 198,822 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากปี 2561 ร้อยละ 17 ปัจจัยหลักมาจากการที่บริษัทมีปริมาณการขายปิโตรเลียมที่เพิ่มขึ้นจากการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนโครงการบงกช การเข้าซื้อกิจการของบริษัท เมอร์ฟี่ ออยล์ คอร์ปอเรชั่น ในประเทศมาเลเซีย และบริษัท พาร์เท็กซ์ โฮลดิ้ง บี.วี. ซึ่งส่งผลให้ปริมาณขายปิโตรเลียมเฉลี่ยปี 2562 เพิ่มขึ้นเป็น 350,651 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 15 ส่วนราคาขายเพิ่มขึ้นจาก เป็น 47.24 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรลจากปี 2561 อยู่ที่ 46.66 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่งผลให้ มีกำไรสุทธิ 1,569 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เทียบเท่า 48,803 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 40 จากปี 2561 ทั้งนี้ ปตท.สผ.มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน รวม 3,540 ล้านดอลลาร์ (เทียบเท่า 102,878 ล้านบาท) และมีระดับอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษีและค่าเสื่อมราคา (EBITDA Margin) ที่ร้อยละ 71
ส่งผลให้อัตราการขายปิโตรเลียมเพิ่มขึ้นเป็น 350,651 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวันนั้น นับเป็นปริมาณการขายปิโตรเลียมเฉลี่ยสูงสุดจากที่มีการผลิตมาของ ปตท.สผ. และยังมีผลให้ปริมาณสำรองปิโตรเลียมที่พิสูจน์แล้ว (P1) ของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 677 ล้านบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ เป็น 1,140 ล้านบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ หรือเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 68 ซึ่งส่งผลให้ R/P ratio เพิ่มขึ้นจาก 5 ปี เป็น 7.5 ปีอีกด้วย และที่ประชุมคณะกรรมการฯ บริษัทวันนี้ (30 ม.ค.) อนุมัติจ่ายปันผล 6 บาท/หุ้น โดยจ่ายสำหรับงวด 6 เดือนแรกไปแล้ว 2.25 บาทต่อหุ้น ส่วนที่เหลืออีก 3.75 บาท/หุ้น จะกำหนดวันให้สิทธิ์ผู้ถือหุ้น (Record Date) เพื่อรับสิทธิ์ในการรับเงินปันผลวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2563 และจะจ่ายวันที่ 10 เมษายน 2563
“ปริมาณการขายเพิ่มขึ้น ทำให้เพิ่มปริมาณสำรองปิโตรเลียมได้ตามเป้าหมาย และการที่มีแหล่งต่าง ๆเพิ่มขึ้น จะเป็นการสร้างการเติบโตให้กับ ปตท.สผ.ไปพร้อม ๆ กับเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศไทยระยะยาว ส่วนปี 2563 ปตท.สผ.ตั้งเป้าเพิ่มปริมาณการขายขึ้นอีกร้อยละ11” นายพงศธร กล่าว
สำหรับแผนงานปี 2563 ปตท.สผ.จะมุ่งดำเนินงานตามแผนการเปลี่ยนผ่านสิทธิ์การดำเนินงานโครงการใหม่ที่ได้ในปีที่ผ่านมาให้เป็นไปอย่างราบรื่น ทั้งโครงการ G1/61 (แหล่งเอราวัณ) และโครงการ G2/61 (แหล่งบงกช) ที่กำลังเตรียมแผนงานเพื่อให้ได้ปริมาณการผลิตตามสัญญาแบ่งปันผลผลิต นอกจากนี้ ปตท.สผ.จะเร่งกิจกรรมการสำรวจในโครงการที่มีศักยภาพสูง เน้นโครงการในประเทศมาเลเซียและเมียนมา เช่น โครงการเมียนมา เอ็มดี-7 และหลุมสำรวจลัง เลอบาห์-1อาร์ดีอาร์ 2 ในแปลงซาราวัก เอสเค 410บี ประเทศมาเลเซีย ซึ่งในปีที่ผ่านมา ปตท.สผ.ประสบความสำเร็จในการเจาะหลุมสำรวจที่ถือเป็นการค้นพบแหล่งก๊าซธรรมชาติครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของบริษัท รวมถึงแปลงสำรวจอื่น ๆ บริเวณเดียวกันในประเทศมาเลเซีย เพื่อพิจารณาการลงทุนที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2563 และปี 2563 คาดว่าปริมาณขายปิโตรเลียมเฉลี่ยจะอยู่ที่ 394,000 บาร์เรล/วัน และ 391,000 บาร์เรล/วัน ตามลำดับ ด้านราคาขายผลิตภัณฑ์ปี 2563 คาดว่าราคาน้ำมันดิบจะผันแปรตามราคาตลาดโลกที่คาดว่าจะยังคงมีความผันผวนและเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 60-70 ดอลลาร์/บาร์เรล ขณะที่ราคาก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์หลักนั้นมีโครงสร้างราคาส่วนหนึ่งผูกกับราคาน้ำมันย้อนหลังประมาณ 6-24 เดือน คาดว่าราคาเฉลี่ยของไตรมาส 1/2563 และทั้งปี 2563 จะอยู่ที่ประมาณ 6.8 และ 6.4 ดอลลาร์/ล้านบีทียู ตามลำดับ เป็นผลจากการปรับตัวของราคาน้ำมันในตลาดโลก คาดว่าจะสามารถรักษาต้นทุนต่อหน่วยได้ที่ประมาณ 32 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยปริมาณขายปิโตรเลียมปี 2563 จะเพิ่มจากปีที่แล้ว เป็นผลจากการเข้าซื้อกิจการของ Murphy ในมาเลเซีย และบริษัท Partex ที่เสร็จสิ้นในเดือน ก.ค.62 และเดือน พ.ย.62
อย่างไรก็ตาม การประกันความเสี่ยงราคาน้ำมันสิ้นปี 2562 มีปริมาณน้ำมันภายใต้สัญญาประกันความเสี่ยงที่ยังไม่ครบกำหนดอยู่ที่ประมาณ 13 ล้านบาร์เรล ซึ่ง ปตท.สผ.มีความยืดหยุ่นในการปรับแผนการประกันความเสี่ยงราคาน้ำมันตามความเหมาะสม
ทั้งนี้ ปตท.สผ.ยังคงมุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มจากโครงการปัจจุบัน และผลักดันการพัฒนาโครงการโมซัมบิก แอเรีย วัน และโครงการแอลจีเรีย ฮาสสิ เบอร์ ราเคซ ให้สามารถผลิตได้ตามแผนที่วางไว้ เพื่อสร้างการเติบโตให้กับบริษัทในระยะยาว. -สำนักข่าวไทย