กรุงเทพฯ 9 ม.ค. – บล.ไอร่ามองกรอบการลงทุนปี 63 ที่ 1,560 – 1,760 จุด ชูกลุ่ม Global Play – Health Care Play – Domestic Play น่าลงทุน พร้อมระบุแนะนักลงทุนเกาะติดสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างสหรัฐและอิหร่านที่จะเข้าเป็นตัวแปรหลักของการลงทุนขณะนี้
ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ไอร่า จำกัด (มหาชน) หรือ AIRA มองเป้าหมาย SET Index ปี 2563 ภายใต้การประเมิน EPS ปี 2563 ที่ 97.70 บาท ซึ่งมองว่าเป็นการเติบโตแบบ Conservative ที่ 4.5% จากประมาณการ EPS ปี 2562 ที่ 93.50 บาท และคำนวณโดยใช้ PE Ratio ช่วง 15 – 17 เท่า ทำให้ประเมินเป้าหมาย SET Index ปีนี้ ในกรอบ 1,560 – 1,760 จุด
โดยมองว่าปัจจัยบวกหลักปีนี้จะมาจากสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนคลี่คลายลงตามลำดับ คาดช่วยความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ขณะที่แนวโน้มเศรษฐกิจไทยมีโอกาสฟื้นตัว โดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คาด GDP ปีนี้ในกรอบ 2.7 – 3.7% แม้ยังได้รับปัจจัยกดดันจากการส่งออกที่เปราะบางและผลกระทบจากเงินบาทที่แข็งค่า แต่ยังคาดว่าได้รับการชดเชยจากการบริโภคในประเทศภายใต้มาตรการกระตุ้นที่คาดมีต่อเนื่อง และการลงทุนทั้งภาครัฐฯ และเอกชน คาดเร่งตัวขึ้นจากปี 2562 รวมทั้งแผนการลงทุนภาครัฐ เช่น โครงการก่อสร้างระบบราง ทั้งรถไฟความเร็วสูง รถไฟทางคู่ และรถไฟฟ้า
นอกจากนี้ การใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินของธนาคารกลางหลายประเทศที่ส่งสัญญาณคงอัตราอัตราดอกเบี้ยระดับต่ำ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งฝ่ายวิจัยมองว่าจากปัจจัยดังกล่าวจะหนุนภาพรวมการลงทุนปีนี้เชิงบวกมากขึ้น
ฝ่ายวิจัยจึงแนะกลยุทธ์การลงทุนปี 2563 โดยแนะนำลงทุนหุ้นกลุ่ม Global Play (พลังงาน โรงกลั่น และ ปิโตรเคมี) อาทิ PTTEP, PTTGC, TOP, SPRC และ IVL เนื่องจากเป็นหุ้นที่อิงกับปัจจัยต่างประเทศ จากสถานการณ์สงครามทางการค้ากลับมามีสัญญาณเชิงบวกอีกครั้งและราคาน้ำมันที่มีโอกาสปรับขึ้นจากสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง
กลุ่ม Health Care Play (โรงพยาบาล) อาทิ BCH, CHG และ RJH ในฐานะ Defensive Stock จากรายได้ที่สม่ำเสมอ ประกอบกับประเด็นบวกจากการปรับขึ้นค่าเหมาจ่ายรายหัวประกันสังคม กลุ่ม Domestic Play เช่น กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง จากโครงการขนาดใหญ่ที่คาดทยอยเปิดประมูลปี 2563 มูลค่ารวมประมาณ 750,000 ล้านบาท ยังเป็นปัจจัยหนุนกลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้าง โดยเฉพาะรายใหญ่ เช่น STEC, CK และ UNIQ รวมถึง SEAFCO กลุ่มที่อยู่อาศัย จากราคาซื้อขายบน PE ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต และแนวโน้มเงินปันผลที่จ่ายเป็นประจำ คาด Div.Yield สูงประมาณ 6 – 7% ที่น่าสนใจ เช่น SPALI และ AP เป็นต้น และสุดท้าย กลุ่มที่มีความน่าสนใจเฉพาะตัว จากผลประกอบการที่ฟื้นตัวโดดเด่น และมีโอกาสทำ New High ต่อเนื่อง เช่น CBG และ CPF เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาการลงทุนในขณะนี้ยังคงแนะนำให้นักลงทุนติดตามสถานการณ์ความกังวลต่อสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐและอิหร่านที่จะเข้ามาเป็นตัวแปรด้านการลงทุนขณะนี้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงและเงินบาทที่แข็งค่า ขณะที่กลุ่มส่งออกและท่องเที่ยวอาจจะได้รับผลกระทบจากกรณีดังกล่าว.-สำนักข่าวไทย