สสว.คาดจีดีพีเอสเอ็มอีปีนี้โตร้อยละ 3-3.5

กรุงเทพฯ 8 ม.ค. – สสว.คาดจีดีพีเอสเอ็มอีปี 63 โตร้อยละ 3-3.5 ปัจจัยบวกมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล


นางสาววิมลกานต์ โกสุมาศ รักษาการผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยถึงภาพรวมเอสเอ็มอีปี 2562 ว่า จากจำนวนตัวเลขผู้ประกอบการเอสเอ็มอีรวม 3,084,290 ราย เกิดการจ้างงาน 13,950,241 คน คิดเป็นร้อยละ 85.5 ของการจ้างงานรวมทั้งประเทศ 

ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์มูลค่าการค้าระหว่างประเทศของเอสเอ็มอีปี 2562 โดยข้อมูลรอบ 10 เดือน (ม.ค.-ต.ค.) เมื่อเปรียบเทียบช่วงเดียวกันของปี 2561 พบว่าการส่งออกของเอสเอ็มอีมีมูลค่า 1.99 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาคิดเป็นร้อยละ 2.1 สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ พลาสติกและของที่ทำด้วยพลาสติก และเครื่องจักร คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ โดยประเทศคู่ค้าหลักของเอสเอ็มอีไทย ได้แก่ อาเซียน จีน ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และอียู โดยจีดีพีเอสเอ็มอีปี 2562 มีมูลค่าประมาณ 7.41 ล้านล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา คิดเป็นร้อยละ 3.5-4.0


ด้านการจัดตั้งและยกเลิกกิจการปี 2562 ในรอบ 10 เดือน เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2561 พบว่าเอสเอ็มอีจดทะเบียนจัดตั้งกิจการใหม่ 63,359 ราย ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 1.43 กิจการที่จัดตั้งใหม่สูงสุด ได้แก่ ก่อสร้างอาคารทั่วไป บริการด้านวิทยุและโทรทัศน์ และอสังหาริมทรัพย์ ส่วนการยกเลิกกิจการ มีจำนวน 14,273 ราย ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 3.56 กิจการที่ยกเลิกสูงสุด ได้แก่ ก่อสร้างอาคารทั่วไป บริการนันทนาการ และอสังหาริมทรัพย์ 

ทั้งนี้ แนวโน้มปี 2563 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวร้อยละ 2.7-3.2 ขณะที่การขยายตัวของจีดีพีเอสเอ็มอีจะอยู่ที่ร้อยละ 3.0-3.5 ปัจจัยสำคัญมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล โครงการลงทุนสาธารณูปโภคขนาดใหญ่จากภาครัฐ ภาคการท่องเที่ยวที่ยังคงเติบโต และขยายตัวอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะการเข้ามาของนักท่องเที่ยวกลุ่มประเทศอื่น ๆ ที่ทดแทนนักท่องเที่ยวจากจีน เช่น อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลี และการเติบโตของกลุ่มธุรกิจ e-Commerce เป็นต้น

“จากการประเมินสถานการณ์ของ สสว. พบว่า แม้ว่าปี 2563 ยังมีปัจจัยที่ต้องเฝ้าระวัง คือ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก สงครามการค้า หากยังมีความยืดเยื้อ การแข็งค่าของเงินบาท สัดส่วนหนี้สินภาคครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง การขอสินเชื่อของเอสเอ็มอีจากสถาบันการเงินยังคงทำได้ยาก รวมถึงกระแสของเศรษฐกิจดิจิทัลที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงหรือแย่งส่วนแบ่งของธุรกิจในรูปแบบดั้งเดิม ฯลฯ แต่มีสัญญาณที่เป็นแนวโน้มดี ไม่ว่าจะเป็นการปรับตัวของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เพื่อเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัล รวมถึงการที่ภาครัฐส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีปรับตัวก้าวทันการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ผ่านแนวทางสำคัญที่จะเป็นการสร้างโอกาสให้เอสเอ็มอี ไทยเติบโตและอยู่รอดได้” นางสาววิมลกานต์ กล่าว


รักษาการ ผอ.สสว. กล่าวว่า สัญญาณการปรับตัวของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ไทยสู่เศรษฐกิจดิจิทัล เห็นได้จากการขยายตัวของธุรกิจ e-Commerce ซึ่งมีมูลค่ากว่า 3 ล้านล้านบาทในปัจจุบัน ธุรกิจ Food delivery ซึ่งปี 2562 มีการประมาณการมูลค่าของธุรกิจดังกล่าวรวมไม่น้อยกว่า 33,000-35,000 ล้านบาท และคาดว่าจะเติบโตเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ต่อปี เช่นเดียวกับธุรกิจปล่อยห้องพัก ผ่าน Platform Airbnb ซึ่งจากข้อมูล พบว่า ผู้ประกอบการไทยมีรายได้จากการปล่อยห้องพักผ่าน Airbnb ปี 2562 รวมมูลค่าถึง 33,000 ล้านบาท จำนวนนี้เกือบครึ่งเป็นการปล่อยเช่าในเมืองรอบนอกกรุงเทพ สะท้อนให้เห็นว่าเอสเอ็มอีไทยสามารถปรับตัวเข้าสู่กระแสเศรษฐกิจดิจิทัลได้ค่อนข้างดีและจะมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น หากได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐ เพราะเป็นหนทางให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงตลาดเข้าถึงลูกค้ามากขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศในระยะเวลาที่รวดเร็ว นอกจากเป็นการเพิ่มโอกาสในการขายแล้ว ยังสามารถลดต้นทุนด้านการตลาดได้อีกด้วย

นางสาววิมลกานต์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อเป็นการส่งเสริมสนับสนุนให้เอสเอ็มอีโดยเฉพาะไมโครเอสเอ็มอี  สามารถดำเนินธุรกิจให้อยู่รอดและเติบโตได้ แนวทางการส่งเสริมปี 2563 รัฐบาลจึงมุ่งสนับสนุนงบประมาณการส่งเสริมเอสเอ็มอีวงเงินรวมกว่า 2,686 ล้านบาท สสว.เป็นหน่วยงานเจ้าภาพหลัก ดำเนินงานผ่านแผนงานบูรณาการพัฒนาผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมสู่สากล มีหน่วยงานพันธมิตรเข้าร่วมขับเคลื่อนการส่งเสริมเอสเอ็มอีรวม 23 หน่วยงาน จาก 9 กระทรวง 1 รัฐวิสาหกิจ ดำเนินโครงการร่วมกันไม่น้อยกว่า 17 โครงการ มีงบประมาณรวม 1,738 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีโครงการที่การดำเนินงานโดย สสว.โดยตรงวงเงิน 948 ล้านบาท ภายใต้แผนส่งเสริมเอสเอ็มอีปี 2563 จะมุ่งเน้น 5 ด้านหลัก 1. สร้างผู้ประกอบการใหม่ให้ดำเนินธุรกิจแบบ Smart MSME 2. ขับเคลื่อน MSME สู่ระบบเศรษฐกิจดิจิทัล 3. พัฒนา Micro SME ให้ได้รับมาตรฐานสินค้า เข้าสู่ตลาดและการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐได้ 4. สร้างการตระหนักรู้ เรื่องการใช้ Data ให้เป็นประโยชน์ในการต่อยอดธุรกิจ (Data-Driven Entrepreneur) 5. ส่งเสริม MSME ที่ผลิตสินค้าให้ต่อยอดธุรกิจการค้าบริการ เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าและยกระดับรายได้ (Servitization) สสว.พบว่าผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย 3 ล้านรายทั่วประเทศ เมื่อนำเกณฑ์รายได้มาใช้พบว่า 2.6 ล้านรายเป็นธุรกิจไมโคร มีรายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี หรือไม่เกิน 150,000 บาทต่อเดือน และจ้างงานไม่เกิน 5 คน ดังนั้น โครงการต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการเอสเอ็มอีปี 2563 จึงให้ความสำคัญกับผู้ประกอบการรายย่อย หรือไมโครเป็นลำดับแรก

โดยมี ศูนย์ OSS ของ สสว.ที่กระจายอยู่ในทุกภูมิภาคของประเทศ เป็นกลไกสำคัญในการให้คำปรึกษาแนะนำและส่งต่อผู้ประกอบการให้ได้รับการส่งเสริม สนับสนุน จากหน่วยงานต่าง ๆ ในพื้นที่ นอกจากนี้ สสว. ยังได้สานต่อการพัฒนาฐานข้อมูลในรูปแบบเว็บไซต์กลาง (Web Portal) ภายใต้ชื่อ “SMEONE” หรือ www.smeone.info ซึ่งรวบรวมข่าวสาร ข้อมูล องค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์ รวมทั้งเชื่อมต่อบริการ กิจกรรมและโครงการต่าง ๆ ในการส่งเสริม สนับสนุน SME ของภาครัฐ ภาคเอกชนและสถาบันการเงินทีเกี่ยวข้อง และ Application SME Connext เป็นต้น

ขณะเดียวกันเพื่อสนองตอบนโยบายรัฐบาล ในการส่งเสริม ช่วยหลือให้ SME สามารถเข้าถึงมาตรฐานสินค้าและบริการได้สะดวกรวดเร็ว ซึ่งเป็นหนทางจะช่วยให้สินค้าของผู้ประกอบการ เข้าสู่ตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศได้มากยิ่งขึ้น สสว. มีแนวทางจะประสานความร่วมมือกับ บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ สสว. และกระทรวงการคลัง ในการขยายบทบาทการให้บริการตรวจรับรองมาตรฐานสินค้าเพิ่มเติมจากสินค้าเกษตรและอาหาร ไปสู่สินค้าอื่น ๆ ในภาคอุตสาหกรรมเพิ่มมากขึ้น เพื่อสร้างโอกาสการเข้าสู่ตลาดต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น อียู เป็นต้น ภายใต้การดำเนินงานส่งเสริม SME ในปี 2563 ของ สสว. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คาดว่าจะสามารถช่วยเหลือ สนับสนุนให้ผู้ประกอบการยกระดับความสามารถในการทำธุรกิจได้ไม่น้อยกว่า 380,000 ราย ทั่วประเทศ.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

‘ฮุน เซน’ ไลฟ์สดกล่าวถึงปัญหาไทย-กัมพูชา

พนมเปญ 27 มิ.ย. – วันนี้นายฮุนเซน ไลฟ์ผ่านเฟซบุ๊กแต่เช้า พูดถึงเรื่องปัญหาความขัดแย้งไทยกับกัมพูชา สรุปประเด็นได้ดังนี้ 7. ประเด็นอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร นายฮุน เซนกล่าวว่า เมื่อตอนที่เดินทางมาเยี่ยมนายทักษิณที่ประเทศไทย เห็นกับตาว่า เวลานายทักษิณจะถ่ายรูปด้วยกัน ต้องหยิบปลอกคอทางการแพทย์มาสวมก่อน พอถ่ายรูปเสร็จก็ถอดออก แล้วไปกินข้าวด้วยกันเป็นปกติ 8.นายฮุน เซนระบุว่า กัมพูชาจะไม่อนุญาตให้ชาวต่างชาติดูหมิ่นกองทัพหรือผู้นำกองทัพ และนายฮุน เซน ถือว่าการกระทำของนางสาวแพทองธาร ต่อแม่ทัพภาคที่ 2 ของไทย ถือเป็นการหมิ่นเบื้องสูง.-810.-สำนักข่าวไทย

เช็กโผ ครม.ล่าสุด นายกฯ นั่งควบ รมว.วัฒนธรรม

ทำเนียบฯ 27 มิ.ย. – คืบหน้า ครม.ใหม่ นายกฯ นั่งควบ รมว.วัฒนธรรม โยก “สุดาวรรณ” นั่ง รมว.อว. ขณะที่ หลานชาย สุริยะ “พงศ์กวิน” นั่ง รมว.แรงงาน ความคืบหน้าในการปรับคณะรัฐมนตรี ( ครม.) ชุดใหม่ ล่าสุดมีรายงานว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เตรียมนำรายชื่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ขึ้นทูลเกล้าฯ แล้ว โดยโผ ครม.ล่าสุด น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะนั่งควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม โดย น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม จะไปดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ส่วนนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะไปดำรงตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรี ควบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายจักรพงษ์ แสงมณี จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ […]

เร่งหาทอง 38 บาท หลังคนร้ายจบชีวิต หนีความผิด

ชลบุรี 27 มิ.ย. – คนร้ายบุกชิงทอง 38 บาท กลางห้างดังชลบุรี โดดคอนโด หนีความผิด หลังก่อเหตุ 2 ชม. ค้นบ้านเจอเอกสารทวงหนี้จำนวนมาก ตำรวจเร่งหาที่ซ่อนทอง ช่วงสายวานนี้ ประมาณ 09.30 น. เกิดเหตุคนร้าย เป็นชาย สวมเสื้อแขนยาวสวมหมวกใส่แมสก์ปิดบังใบหน้า เข้ามาใช้ปืนจี้พนักงานก่อเหตุชิงทอง ห้างทองภายในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง สาขาบ้านสวน อำเภอเมืองชลบุรี ได้ทองรูปพรรณไปทั้งหมดรวม 38 บาท ซึ่งขณะหลบหนี ดาบตำรวจสมปอง ฟองดา ผบ.หมู่ กองบังคับการสืบสวนสอบสวนภูธรภาค 2 เห็นเหตุการณ์พอดี พยายามกระโดดขวางและเข้าชาร์จตัวผู้ก่อเหตุ จังหวะนั้นผู้ก่อเหตุ ได้ยิงเพื่อเปิดทางหนึ่งนัด กระสุนโดนหมวกกันน็อกดาบตำรวจสมปอง จนเป็นรู และสามารถแย่งปืนมาได้ แต่ไม่สามารถจับตัวได้ คนร้ายวิ่งหนีออกจากห้างไปอย่างรวดเร็วตำรวจในพื้นที่เร่งตรวจสอบกล้องวงจรปิด เพื่อติดตามเส้นทางหลบหนี แต่ผ่านไปเพียง 2 ชั่วโมง ประมาณ 11.30 น. ตำรวจ สภ.ดอนหัวฬ่อ ได้รับแจ้งคนตกจากคอนโดมีเนียม จึงเดินทางไปตรวจสอบพร้อมกู้ภัย […]

พบระเบิดอีกที่หาดสุรินทร์

ภูเก็ต 27 มิ.ย.-พบระเบิดอีก 1 ชุดที่หาดสุรินทร์ จ.ภูเก็ต ชุด EOD เข้าทำลายแล้ว เร่งค้นหาว่ามีจุดวางระเบิดอีกหรือไม่ หลังคนร้ายรับสารภาพวางระเบิดไว้ที่หาดสุรินทร์ 2 จุด ภายหลังจากตำรวจจับผู้ต้องหาลอบวางระเบิดสถานที่ท่องเที่ยวทั้งที่จังหวัดภูเก็ตและกระบี่ ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า ยังได้วางระเบิดไว้ที่หาดสุรินทร์ 2 จุด คือที่บริเวณหาดสุรินทร์ ตำบลเชิงทะเล อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต ใกล้กับสถานที่กำลังก่อสร้าง ขณะนี้เจ้าหน้าที่ชุด EOD ตำรวจภูธรภาค 8 ชุดสืบสวนภาค 8 ชุดสืบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เชิงทะเล เจ้าหน้าที่ อบต.เชิงทะเล และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต ลงพื้นที่ตรวจสอบบริเวณหาดสุรินทร์ พร้อมอุปกรณ์และเครื่องมือสแกนหาวัตถุต้องสงสัย และเครื่องตรวจจับโลหะ และตรวจพบวัตถุต้องสงสัย 1 ชุด ถูกฝังไว้ใต้ต้นไม้ ใกล้ห้องน้ำ บริเวณที่กำลังมีการปรับปรุงภูมิทัศน์หาดสุรินทร์ ของกรมโยธาธิการและผังเมือง และเจ้าหน้าที่ EOD ใช้ยุทธวิธีในการทำลาย อย่างไรก็ตามขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังค้นหาว่าจะมีจุดวางระเบิดอีกหรือไม่ เพราะจากคำสารภาพของผู้ต้องหา ระบุว่า มีการนำวัตถุต้องสงสัยมาวางไว้ […]

ข่าวแนะนำ

รวบ 2 ผู้ต้องหาปล้นเงินกลางห้างดัง ยึดของกลาง 1.9 ล้าน

กรุงเทพฯ 1 ก.ค. – ผบช.น. แถลงรวบ 2 ผู้ต้องหาปล้นเงินกลางห้างดัง ตามยึดของกลางคืนแล้ว 1.9 ล้านบาท ส่วนผู้ต้องหาที่เหลืออีก 5 คน ขออนุมัติศาลออกหมายจับบ่ายนี้ พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล แถลงข่าวเปิดเผยความคืบหน้าการจับกุมผู้ต้องหาปล้นเงินสดจำนวน 3.4 ล้านบาท ภายในศูนย์การค้าแห่งหนึ่งย่านลาดพร้าวเมื่อคืนที่ผ่านมา พร้อมระบุว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุได้แล้ว 2 ราย คือ นายเฌอพัชญ์ หรือหนาว และ น.ส.นานา โดยสามารถตามจับกุมได้ที่รีสอร์ตแห่งหนึ่งใน อ.ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี เมื่อช่วงเวลา 01.00 น.ที่ผ่านมา พร้อมกันนี้ยังสามารถตรวจยึดของกลางเป็นเงินสดจำนวน 1.9 ล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนแบ่งจากการกระทำความผิด เสื้อผ้าที่สวมใส่ในขณะก่อเหตุ บัญชีธนาคารและบัตร ATM รวมทั้งสิ่งของที่ได้มาจากการทำความผิดก่อนหน้านี้ของผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย จากการสอบปากคำเบื้องต้น ผู้ต้องหาทั้งสองให้การยอมรับสารภาพจากการจำนวนต่อหลักฐาน โดยอ้างว่า นายเฌอพัชญ์ จะทำหน้าที่เป็น Agent หรือตัวแทนหลอกซื้อขายคริปโตเคอเรนซี่ผ่านกลุ่ม Facebook […]

“สรวงศ์” ยันเร่งแก้ระบบล่ม หลังแห่ลงทะเบียน “เที่ยวไทยคนละครึ่ง”

ทำเนียบ 1 ก.ค.- “สรวงศ์” ยันเร่งแก้ปัญหาแอปฯ ล่ม หลังปชช.แห่ลงทะเบียน “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” เผยอาจมีการเพิ่มสิทธิมากขึ้น นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวถึง การเปิดลงทะเบียนโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง ในวันนี้ เป็นวันแรก (1 ก.ค.) หลังเปิดให้ลงทะเบียนเวลา 08.00 น. ปรากฏว่าแอปฯ ล่ม ว่า ในเรื่องของแอปฯ ล่มกำลังแก้ไขอยู่ โดยจะดำเนินการให้เร็วที่สุด ซึ่งยอมรับว่าเมื่อเปิดให้มีการลงทะเบียน มีประชาชนเข้าไปลงทะเบียนเป็นจำนวนมาก นายสรวงศ์ ยืนยันว่าเรื่องของระบบการลงทะเบียนได้มีการเตรียมความพร้อมเอาไว้แล้ว แต่บางครั้งเป็นปัญหาทางเทคนิค แต่ก็จะพยายามแก้ไขปัญหาให้เร็วที่สุด นายสรวงศ์ มองว่า การที่ประชาชนเข้าไปลงทะเบียนเป็นจำนวนมาก เป็นเป็นการสะท้อนให้เห็นว่าประชาชนอยากจะเที่ยวอยู่ ซึ่งก็จะมีการพิจารณาอีกครั้งว่า หากมีประชาชนลงทะเบียนจนครบตามสิทธิแล้ว นายกรัฐมนตรีเคยบอกแล้วว่า จะเพิ่มสิทธิตรงนี้ให้.-315 -สำนักข่าวไทย

โปรดเกล้าฯ “ครม.แพทองธาร 1/2” นายกฯ ควบเก้าอี้ วธ.

กรุงเทพฯ 1 ก.ค.- โปรดเกล้าฯ ครม.ชุดใหม่ “แพทองธาร 1/2” นายกฯ นั่งควบ รมว.วัฒนธรรม ขณะที่ “ภูมิธรรม” นั่งรองนายกฯ ควบ มท.1 วันนี้ (1 ก.ค.) เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศ ให้รัฐมนตรีพ้นจากความเป็นรัฐมนตรีและแต่งตั้งรัฐมนตรี  พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ประกาศว่า ตามที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง นางสาวแพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ตามประกาศลงวันที่ 16 สิงหาคม พุทธศักราช 2567 แล้ว นั้น บัดนี้ นายกรัฐมนตรี ได้ กราบบังคมทูลว่า ได้มีรัฐมนตรีลาออกบางตำแหน่ง สมควรแต่งตั้งรัฐมนตรีแทนตำแหน่งที่ว่าง และปรังปรุงรัฐมนตรีบางตำแหน่งเพื่อความเหมาะสม และบังเกิดประโยชน์ต่อการบริหารราชการแผ่นดิน โดยอาศัยอำนาจ ตามความในมาตรา 158 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รัฐมนตรีพ้น จากความเป็นรัฐมนตรีและแต่งตั้งรัฐมนตรี ดังต่อไปนี้ และให้แต่งตั้งรัฐมนตรีดังต่อไปนี้ ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป […]

คุมได้แล้วเพลิงไหม้โรงงานผลิตทิชชู ตาย 8 สูญหาย 2

สระบุรี 1 ก.ค. – เหตุเพลิงไหม้โรงงานผลิตทิชชูใน อ.หนองแค จ.สระบุรี เจ้าหน้าที่ควบคุมเพลิงไว้ได้ พบผู้เสียชีวิตแล้ว 8 ราย สูญหาย 2 ราย เบื้องต้นอาคารโรงงานเสียหายทั้งหมด ส่วนสาเหตุต้องรอกองพิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจสอบอีกครั้ง ช่วงเที่ยงวานนี้ (30 มิ.ย.) เกิดเพลิงไหม้อย่างรุนแรงในโรงงานผลิตทิชชู ตั้งอยู่ภายในนิคมเหมราช อ.หนองแค จ.สระบุรี เจ้าหน้าที่ต้องระดมรถดับเพลิงกว่า 50 คัน ช่วยควบคุมสถานการณ์ พบเพลิงลุกไหม้ภายในโรงงาน และได้รับแจ้งว่ามีพนักงานอยู่ภายในสำนักงานชั้น 2 และชั้น 3 รวม 10 คน ยังไม่สามารถออกมาได้ จึงเร่งฉีดน้ำสกัด แต่เนื่องจากจุดที่เกิดเพลิงไหม้มีกองกระดาษซึ่งเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี กระทั่งเวลาล่วงเลยไปกว่า 2 ชั่วโมง จึงสามารถควบคุมเพลิงให้อยู่ในวงจำกัด จากนั้นได้รับรายงานว่ามีผู้สูญหาย 10 คน ทั้งหมดเป็นพนักงาน ก่อนเกิดเหตุทำงานอยู่บนชั้น 2 และชั้น 3 ของโรงงานและเป็นห้องกระจก แต่จุดเกิดเพลิงไหม้อยู่ชั้นล่าง อาจไม่ได้ยินหรือไม่รู้ว่าเกิดเพลิงไหม้ ซึ่งจุดที่ได้รับความเสียหายหนักที่สุดคือชั้น 2 […]