กฎหมายต้องรู้ ก่อนจัดปาร์ตี้ ตั้งวง ปีใหม่

กทม. 27 ธ.ค.- ในช่วงเทศกาลปีใหม่แบบนี้เชื่อว่าหลายคนจะมีการเฉลิมฉลอง วันนี้จึงเอากฎหมายที่ต้องรู้ ก่อนจัดปาร์ตี้ ตั้งวง ปีใหม่นี้


เฟซบุ๊กเพจ “สื่อศาล” กองสารนิเทศและประชาสัมพันธ์ ศาลยุติธรรม ได้ออกมาโพสต์ข้อกฎหมายเตือนว่า การตั้งวงดื่มสุรายามวิการ ส่งเสียงดัง รบกวนเพื่อนบ้านให้เดือดร้อน รำคาญ จะเข้าความผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 397 วรรคแรก ผู้ใดกระทำด้วยประการใดๆ ต่อผู้อื่น อันเป็นการรังแก ข่มเหง คุกคาม หรือกระทำให้ได้รับความอับอายหรือเดือดร้อนรำคาญ ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท หมายถึงแค่ดื่มกินกันแล้วเสียงดัง แต่ถ้ายกลำโพงมาเปิดเครื่องเสียงอีก ไม่ได้เปิดแค่เพื่อฟังเอาบรรยากาศ แต่เปิดดังไปถึงข้างบ้าน ดังทั้งอำเภอ อันนี้ก็มีโทษกฎหมายอาญามาตรา 370 ผู้ใดส่งเสียง ทำให้เกิดเสียงหรือกระทำความอื้ออึง โดยไม่มีเหตุอันสมควร จนทำให้ประชาชนตกใจหรือเดือดร้อน ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท


ส่วนพฤติกรรมอีกอย่างหนึ่งที่พบเห็นได้บนท้องถนนคือ การเปิดเพลงดังสนั่น เสียงดังบนถนน อันนี้ก็ผิดกฎหมาย เพราะไปสร้างความรำคาญแก่ผู้ใช้รถใช้ถนน ทำให้ผู้อื่นเสียสมาธิในการขับรถ พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 ห้ามมิให้ผู้ขับขี่รถ โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัย หรือความเดือดร้อนของผู้อื่น บทลงโทษ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือ ปรับตั้งแต่ 2,000 บาท ถึง 10,000 หรือทั้งจำทั้งปรับ ตำรวจเขาก็จะทำเรื่องแล้วส่งให้ศาลเป็นผู้พิจารณาตัดสินต่อไป 

    


สำหรับบทลงโทษของการเมาแล้วขับขี่รถในประเทศไทยตามพระราชบัญพระราชบัญญัติจราจรทางบก ได้กำหนดให้ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดของผู้ขับขี่ยานพาหนะต้องไม่เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็น ถ้าเกินถือว่าผู้ขับขี่นั้นมีอาการมึนเมา 

เมาแล้วขับ จะมีโทษจําคุกไม่เกินหนึ่งปีหรือปรับตั้งแต่ 10,000- 20,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และให้ศาลสั่งพักใช้ใบขับขี่ของผู้นั้นมีกําหนดไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือเพิกถอนใบขับขี่ และหากเป็นเหตุให้ผู้อื่นเกิดอันตราย ถึงตายก็จะมีโทษสูงสุด จำคุก 3-10 ปี ปรับ 60,000 – 200,000 บาท และพักใช้ใบขับขี่ เพิกถอนใบขับขี่เลยทีเดียว

แต่ถ้าผู้ขับขี่หรือผู้โดยสารไม่ยอมให้ตรวจสอบ เจ้าหน้าที่สามารถสันนิษฐานได้เลยทันทีว่าเมาไว้ก่อน ซึ่งก็จะมีบทลงโทษคือจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับตั้งแต่ 10,000 -20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่มีกำหนดไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่และยึดรถที่ใช้ไม่เกิน 7 วัน

เมาแล้วขับทำให้ผู้อื่นได้รับอันตราย จำคุกตั้งแต่ 1-5 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000-100,000 บาท และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่

เมาแล้วขับทำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บสาหัส โทษจำคุก 2-6 ปี ปรับตั้งแต่ 40,000-120,000 บาท ให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่า 2 ปี หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่

เมาแล้วขับทำให้ผู้อื่นเสียชีวิต จำคุกตั้งแต่ 3-10 ปี และปรับตั้งแต่ 60,000-200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

สำนักสงฆ์หูตาทิพย์

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์”

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์” พระอ้างใช้สอนวิปัสสนากรรมฐาน เบื้องต้นอายัดไว้พิสูจน์ดีเอ็นเอ พร้อมเอาผิดหัวหน้าสำนักสงฆ์ ฐานนำศพเก็บไว้ในสถานที่ที่ไม่ใช่สุสานและฌาปนสถาน

“สนธิ” ยื่นถอด “ตั้ม-เดชา” ออกจากทนาย

“สนธิ ลิ้มทองกุล” หอบหลักฐานบุกสภาทนายความ ถอดทนายตั้ม-ทนายเดชา ออกจากทนาย ระบุ ได้รับมอบอำนาจจาก “มาดามอ้อย” แล้ว เดินหน้าเอาผิด ทนายตั้มแบบสุดซอย ไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อผู้รู้กฎหมายอีก

รัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มยูเครน

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย แถลงยืนยันว่ารัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มภาคตะวันออกยูเครนเมื่อวานนี้ ตอบโต้ที่ยูเครนใช้ขีปนาวุธที่ได้รับมอบจากสหรัฐและอังกฤษ

ข่าวแนะนำ

โค้งสุดท้าย ศึกสองนารีชิงเก้าอี้ นายก อบจ.นครฯ

เหลือไม่ถึง 2 วันแล้ว ที่ชาวนครศรีธรรมราชจะได้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งนายก อบจ.นครฯ ศึกนี้เป็นการสู้กันเองของพรรคร่วมรัฐบาล ฝ่ายหนึ่งต้องการรักษาฐานที่มั่นไว้ให้ได้ อีกฝ่ายต้องการเจาะฐานให้แตก เพื่อหวังครองที่นั่งการเมืองระดับชาติในสมัยหน้า

ร้อนระอุโค้งสุดท้าย ศึกชิงเก้าอี้ นายก อบจ.อุดรธานี

การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ครั้งนี้ดุเดือดเกินคาด ผู้สมัครจาก 2 พรรคใหญ่ลงชิงชัย ต่างเร่งเครื่องเต็มที่ในโค้งสุดท้าย การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย.นี้ ใครจะเป็นผู้คว้าชัยชนะและสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญให้จังหวัดอุดรธานี ไปติดตามจากรายงาน

ความเห็นนักวิชาการ คดีทักษิณ

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทย ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ขณะที่นักวิชาการชี้ว่าไม่ได้พลิกไปจากความคาดหมาย และผลจากคดีนี้ ไม่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนทางการเมือง แต่ก็ยังมีจุดเสี่ยงที่ต้องระวัง