สอน.ยืนยันปรับสูตรหน้าโรงงานไม่ทำให้ราคาน้ำตาลแพงขึ้น

กรุงเทพฯ 12 ธ.ค. – สอน.ยืนยันปรับสูตรคำนวณราคาน้ำตาลหน้าโรงงาน ไม่ทำให้น้ำตาลขายปลีกในประเทศแพงขึ้น


นายวิฤทธิ์ วิเศษสินธุ์ รองผู้อำนวยการ สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายหรือ สอน. กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่า การปรับสูตรคำนวณราคาน้ำตาลทรายหน้าโรงงาน ส่งผลให้ราคาน้ำตาลขายปลีกในตลาดปรับเพิ่มขึ้น 3-4 บาท ว่า จากการสำรวจราคาล่าสุดของ สอน.พบว่า ราคาขายปลีกน้ำตาลในประเทศไม่ได้ปรับขึ้น ราคาขายปัจจุบันยังคงต่ำกว่าในอดีตก่อนลอยตัวราคาน้ำตาลด้วยซ้ำไป

สำหรับการปรับสูตรการคำนวณราคาหน้าโรงงานที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีล่าสุดนั้น ไม่มีผลกับราคาขายปลีกน้ำตาลในภาพรวมของประเทศ และในห้างสรรพสินค้าหรือร้านสะดวกซื้อ  โดยขณะนี้ราคาขายอยู่ในห้างค้าปลีกขนาดใหญ่อยู่ที่ประมาณ 21-22 บาทต่อกิโลกรัม อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าราคาขายหน้าโรงงานตามสูตรใหม่ ทำให้ราคาน้ำตาลสูงขึ้นกว่าช่วง 2 ปีที่ผ่านมาที่ใช้วิธีการสำรวจราคา  แต่ไม่ได้สูงถึง 4 บาท สูงขึ้นเพียง 1 บาทเศษเท่านั้น โดยการคำนวณราคาน้ำตาลสูตรใหม่ ทำให้ราคาน้ำตาลหน้าโรงงานเพิ่มขึ้น โดยน้ำตาลทรายขาวธรรมดาอยู่ที่ 17.25 บาทต่อกิโลกรัม และน้ำตาลทรายขายบริสุทธิอยู่ที่ 18.25 บาทต่อกิโลกรัม แต่ยังเป็นราคาน้ำตาลที่ต่ำกว่าก่อนประกาศลอยตัวราคาน้ำตาลในประเทศ และในอดีตด้วยซ้ำไปที่มีการกำหนดราคาขายหน้าโรงงานคงที่ไว้ที่ 19-20 บาทต่อกิโลกรัม 


แหล่งข่าวโรงงานอุตสาหกรรมน้ำตาลทราย กล่าวว่า การปรับสูตรคำนวณราคาน้ำตาลหน้าโรงงานใหม่ ไม่น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ระดับราคาน้ำตาลในประเทศปรับเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากราคาน้ำตาลในประเทศ ขึ้นกับหลายปัจจัยโดยเฉพาะปัจจัยราคาน้ำตาลตลาดโลก ที่ขณะนี้ยังตกต่ำอยู่ในระดับประมาณ 12-13 เซ็นต์ต่อปอนด์ ไม่ปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งราคาเคลื่อนไหวในช่วงนี้มาประมาณ 1 ปีแล้ว เนื่องจากยังคงมีน้ำตาลส่วนเกินให้บริโภคอีกมาก หรือกล่าวอีกนัยคือ ยังคงมีน้ำตาลเกินกว่าความต้องการของตลาดโลก แม้ว่า ผลผลิตที่จะออกมาในฤดูการผลิตปี 2562/2563 ในภาพรวมทั้งโลกในการสำรวจเบื้องต้น มีแนวโน้มลดลงก็ตาม  ประกอบกับประเทศบราซิลผู้ส่งออกน้ำตาลรายใหญ่ที่สุดของโลก ประสบภาวะเงิน “เรียล”อ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ก็ยิ่งเป็นปัจจัยกดดันราคาให้ราคาน้ำตาลตลาดโลกปรับขึ้นไม่ได้ 

อีกประเด็นที่เป็นผลด้านจิตวิทยา ไม่มีผลต่อราคามากนัก คือ แนวโน้มการบริโภคน้ำตาลที่ลดลง จากความห่วงใยด้านสุขภาพ มีการจัดเก็บภาษีความหวาน ปัจจัยเหล่านี้ ย่อมทำให้ความต้องการน้ำตาลลดลง ไม่เพิ่มขึ้นอย่างที่ควรจะเป็น   เพิ่มขึ้นไม่ถึงร้อยละ 2 ต่อปีอย่างที่ผ่าน ๆ มา

สำหรับประเทศไทยก็เช่นกันราคาน้ำตาลยังไม่เพิ่มขึ้น แม้ผลผลิตอ้อยปีนี้ฤดูการผลิตปี 2562/2563 จะมีแนวโน้มลดลงเหลือ 100-110 ล้านตันจากฤดูปี 2561/2562 ที่มีผลผลิตอ้อยมากกว่า 130 ล้านตันอ้อย  ผลผลิตลดลง 20 ล้านตันอ้อย ส่งผลให้ผลิตน้ำตาลที่จะผลิตได้ลดลง 2 ล้านตัน ประมาณการผลผลิตจะเหลือกว่า 12 ล้านตัน อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยมีการบริโภคน้ำตาลในประเทศประมาณ 3 ล้านตันหรือคิดเป็นร้อยละ 30 ของน้ำตาลที่ผลิตได้ทั้งหมดแต่ละปี น้ำตาลส่วนใหญ่อีกประมาณ 8 ล้านตัน คิดเป็นร้อยละ 70 ยังต้องพึ่งการส่งออกอยู่ดี แต่น้ำตาลยังล้นตลาดโลก ราคายังตกต่ำ โรงงานน้ำตาลส่งออกไม่ได้เท่าที่ควรจะเป็น จึงเอาตัวรอดนำน้ำตาลที่จะส่งออกมาขายขาดทุน 1-2 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้ราคาน้ำตาลในประเทศปรับลดลงไปอีก จากที่ก่อนหน้านี้เคยอยู่ในระดับ  23-24  บาทต่อกิโลกรัม ลดลงมาเหลือ 19 บาทต่อกิโลกรัม ราคาปรับลดลง 3-4 บาทต่อกิโลกรัม 


ซึ่งการขายน้ำตาลขาดทุนของโรงงานน้ำตาล หากทำต่อเนื่องทำให้ที่สุดแล้วจะเข้าสู่ภาวะที่เรียกว่า “ปลาใหญ่กินปลาเล็ก” โรงงานและอุตสาหกรรมน้ำตาลขนาดเล็กจะอยู่ได้  ขณะเดียวกันรายได้จากอุตสาหกรรมน้ำตาลร้อยละ 70 เป็นของชาวไร่อ้อย ดังนั้น ชาวไร่อ้อยและฝ่ายราชการ จึงไม่ยอมให้มีการขายขาดทุนต่อไป ต้องการให้โรงงานน้ำตาล ขายในราคาที่ครอบคลุมต้นทุน โดยขณะนี้ ฝ่ายโรงงานน้ำตาลได้ปรับสูตรราคาขายน้ำตาลในประเทศ โดยใช้สูตร COST PLUS พิจารณาต้นทุนครอบคลุม 2 ส่วนคือ ต้นทุนปลูกอ้อยและต้นทุนการผลิตน้ำของโรงงานน้ำตาล บวกมาร์จิ้นร้อยละ 15 ทำให้ระดับราคาหน้าโรงงานอยู่ที่ระดับประมาณ 18-19 บาทต่อกิโลกรัมเท่านั้น เมื่อบวกต้นทุนค่าขนส่ง และต้นทุนผู้ค้าส่ง ค้าปลีกอีกเล็กน้อย ราคาน้ำตาลจะเพิ่มมาอยู่ที่ประมาณ 21-22 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งราคานี้ยังต่ำกว่าราคาเดิมที่ขาย 24 บาทต่อกิโลกรัม ดังนั้น การที่ระบุว่าราคาน้ำตาลในประเทศเพิ่ม 3-4 บาทไม่จริง แต่อาจจริงในแง่ของราคาปรับขึ้นหลังแข่งกันลดราคาทุ่มตลาดน้ำตาลในประเทศ หากมีการปรับขึ้นราคาน้ำตาล 3-4 บาทจริง ระดับราคาน้ำตาลในประเทศขณะนี้จะต้องอยู่ในระดับ 25-26 บาทต่อกิโลกรัม. –สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

หนุ่มขี่จยย. พุ่งชนฝาคอนกรีต ตกบ่อร้อยสายไฟดับสลด

11 ส.ค.- หนุ่มวัย 26 ขี่รถจักรยานยนต์ฝ่าแนวกั้นพุ่งชนฝาคอนกรีต ร่างกระเด็นตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ลึก 10 เมตร จมน้ำดับสลด เมื่อเวลา 00.30 น.วันที่ 11 ส.ค.68 ร.ต.ท.เจนวิทย์ เหลือผล รองสารวัตร(สอบสวน) สน.ทุ่งสองห้อง รับแจ้งอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์พุ่งตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ถนนแจ้งวัฒนะ ขาออก บริเวณหน้าศาลปกครอง แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. จึงรุดตรวจสอบพร้อมอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ที่เกิดเหตุใกล้สถานีรถไฟฟ้า ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ เป็นถนน 5 เลน บริเวณช่องทางซ้าย 3 เลนปิดเป็นพื้นที่ก่อสร้างโครงการร้อยสายไฟใต้ดิน พบรถจักรยานยนต์สีครีม ทะเบียน กทม. ล้มคว่ำหน้ารถพังยับพุ่งชนเครื่องปั่นไฟฟ้า ใกล้บ่อมีความลึก 10 เมตร เจ้าหน้าที่จึงใช้อุปกรณ์โรยตัวลงไปตรวจสอบพบผู้ขับขี่จมน้ำเสียชีวิต นำร่างขึ้นมาทราบชื่อนายสันติสุข (สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี สวมเสื้อยืดคอกลม แขนสั้น นุ่งกางเกงกีฬาขาสั้นสีน้ำเงิน ตามร่างกายมีบาดแผล กระโหลกศีรษะแตก เจ้าหน้าที่จึงบันทึกรวบรวมที่เกิดเหตุไว้เป็นหลักฐาน สอบถามคนงานที่อยู่บริเวณจุดเกิดเหตุให้การว่า […]

“ขัตติยา” ชี้ภารกิจชายแดนเป็นผลงานร่วมทุกฝ่าย ใต้ร่ม ศบ.ทก.

กทม. 10 ส.ค.-“ขัตติยา” สส.เพื่อไทย ชี้โพลฯ ประชาชนเชื่อมั่นกองทัพสูง แต่ภารกิจชายแดนเป็นผลงานร่วมทุกฝ่าย ใต้ร่ม ศบ.ทก. น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล สส.บัญชีรายชื่อและรองโฆษกพรรคเพื่อไทย โพสต์ X ถึงผลสำรวจล่าสุดของนิด้าโพล ที่ให้ความไว้วางใจกองทัพสูงกว่ารัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศ ว่าอยากชวนมองภาพให้ครบว่า ทุกหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ล้วนทำงานร่วมเป็นทีมเดียวกัน ภายใต้ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา หรือ ศบ.ทก. ศูนย์นี้จัดตั้งขึ้นตั้งแต่เดือนมิถุนายน โดยรวมเอาหลายภาคส่วนเข้ามาทำงานร่วมกัน ทั้งกระทรวงกลาโหม สภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการทหารบก ทุกฝ่าย คือทีมไทยแลนด์ ที่แบ่งบทบาทหน้าที่และประสานงาน เพื่อเป้าหมายเดียวกัน คือ การรักษาอธิปไตยของประเทศ และปกป้องความปลอดภัยของชีวิตประชาชน แม้กองทัพจะมีบทบาทสำคัญเป็นด่านหน้าในพื้นที่ชายแดน แต่ก็ไม่ได้ทำงานแยกเดี่ยวหรือเป็นอิสระจากภาคส่วนอื่นๆ หากทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับทุกหน่วยงานภายใต้ร่มของ ศบ.ทก. ในสถานการณ์ที่ท้าทายเช่นนี้ ไม่มีหน่วยงานใดสามารถทำงานบรรลุเป้าหมายได้เพียงลำพัง ความสำเร็จต้องเกิดจากการร่วมแรงร่วมใจของทุกภาคส่วน.-314.-สำนักข่าวไทย

วันแม่แห่งชาติ ขึ้นทางด่วนฟรี 𝟯 สายทาง

กทม. 9 ส.ค.-วันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม 2568 กทพ. แจ้งยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษรวม 𝟯 สายทาง ดังนี้ ทางพิเศษเฉลิมมหานคร จำนวน 𝟮𝟭 ด่าน ทางพิเศษศรีรัช จำนวน 𝟯𝟮 ด่าน และทางพิเศษอุดรรัถยา จำนวน 𝟭𝟬 ด่าน นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลประกาศให้วันจันทร์ ที่ 11 สิงหาคม 2568 เป็นวันหยุดพิเศษ ทำให้มีวันหยุดต่อเนื่องกันรวม 4 วัน (9-12 สิงหาคม 2568) เพื่อให้ประชาชนเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดการณ์สถานการณ์ “คนไทย” เดินทาง “ท่องเที่ยวภายในประเทศ” วันหยุดยาวช่วงวันแม่แห่งชาติ ระหว่างวันที่ 9-12 สิงหาคม 2568 จะสร้างรายได้สะพัดทั่วประเทศ 13,750 ล้านบาท […]

“มาริษ” แจงโทรเคลียร์ รมว.ต่างประเทศสิงคโปร์ ปมถูกบิดเบือนคำพูด

สุรินทร์ 9 ส.ค. – “มาริษ” แจงโทรเคลียร์ “วิเวียน” รมว.ต่างประเทศสิงคโปร์ ถูกบิดเบือนคำพูด ย้ำไม่ได้วิจารณ์เชิงลบ แต่ห่วงภาวะผู้นำทำงานได้ไม่เต็มที่เพราะมีอุปสรรคขัดขวาง นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีบางสื่อบิดเบือนคำพูดของนายวิเวียน บาลากริชนิน (Vivian Balakrishnan) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศสิงคโปร์ ซึ่งตนไม่สบายใจตั้งแต่ต้น และได้สะท้อนไปว่าการแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่ละเอียดอ่อนเหล่านี้มักจะทำให้เกิดความเข้าใจผิด และจะมีคนเอาคำพูดท่านไปใช้ประโยชน์ในการโจมตีทางการเมือง นายมาริษ เปิดเผยว่า ได้คุยโทรศัพท์กับนายวิเวียน เพื่อแสดงความห่วงกังวล เขายอมรับแล้วอนุญาตให้ช่วยชี้แจง อธิบายกับสื่อมวลชนที่เป็นสื่อหลัก เพราะข้อความที่แปลผิดได้แพร่สะพัดอยู่ในโซเชียลมีเดีย “นายวิเวียนไม่ได้มีความประสงค์ที่จะไปตั้งคำถามในเรื่องภาวะผู้นำของใครทั้งสิ้น เขาเพียงแต่พูดว่าอยากเห็นการทูตทำงานอย่างเต็มที่ เพราะการทูตจะแก้ไขปัญหาได้หากอยู่ในจุดที่สมดุล และเมื่อไรที่ภาวะผู้นำถูกขัดขวาง ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยอะไรก็ตาม มันจะมีผลกระทบให้การแก้ไขปัญหาซับซ้อนมากยิ่งขึ้น” นายมาริษ กล่าว นายมาริษ กล่าวย้ำว่า สิ่งที่นายวิเวียนพูด จะพยายามสื่อสารเพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักว่าอยากเห็นผู้นำได้ทำงานอย่างเต็มที่ ไม่มีอุปสรรคขัดขวาง ซึ่งจะเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้การแก้ไขปัญหาลุล่วงไปได้อย่างสมบูรณ์.-319-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

เสียงสะท้อนจากวีรบุรุษแนวหน้าถึงแนวหลัง

11 ส.ค. – แม้สถานการณ์สู้รบไทย-กัมพูชาเหมือนจะดีขึ้น แต่ยังวางใจไม่ได้ เช่นข่าวทหารไทยเหยียบกับระเบิดบาดเจ็บอีก 3 นาย วันนี้จะพาไปดูความพร้อมของหน่วยแพทย์ในการดูแลทหารของชาติในฐานะวีรบุรุษ พร้อมข้อคิดจากจ่าสิบเอกพิชิตชัย บุญชูกล้า หรือจ่าเต้ 1 ในวีรบุรุษ ฝากถึงแนวหลัง.-สำนักข่าวไทย

“ภูมิธรรม” เล็งปิด​ ศบ.ทก. หลังถก​ สมช.​ เคาะสถานการณ์สงบจริง

เมืองทองธานี 11 ส.ค.- “ภูมิธรรม” ลั่น​ ก็จบ!! ​ หลัง “กองทัพ” ยืนยันแล้ว “แม่ทัพภาค 2” ไม่ได้พูดยึดปราสาทตาควาย ย้ำยังไม่มีอะไรผิดสัญญา เล็งปิด​ ศบ.ทก. หลังประชุม​ สมช.​ 13-14 ส.ค.นี้​ เคาะสถานการณ์สงบจริง​ นายภูมิธรรม​ เวชยชัย​ รอง​นายก​รัฐมนตรี​และ​รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวง​มหาดไทย​ รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี​ กล่าวถึงกรณีพลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2​ ออกมา ประกาศยึดคืนปราสาทตาควาย จะถือเป็นการละเมิดข้อตกลงไทย-กัมพูชาหรือไม่ ว่า​ ยังไม่ได้ยินแม่ทัพภาคที่ 2 พูด​ แต่ทุกอย่างต้องเป็นไปตามข้อตกลง​ เมื่อถามว่าแม้กองทัพ จะออกมาปฏิเสธแล้ว​ แต่ทางกัมพูชา​อาจมองเป็นการกระตุ้นให้เกิดความขัดแย้ง และละเมิดข้อตกลง 13 ข้อ นายภูมิ​ธรรม​ กล่าวว่า​ ยังไม่มีอะไรผิดสัญญา กองทัพซึ่งเป็นตัวหลักได้ยืนยันแล้ว​ ก็จบตามนั้น​ เมื่อถามว่า​ สถานการณ์ชายแดน 2-3 วันที่ผ่านมา​ ถือว่าสงบนิ่งหรือไม่​ เนื่องจากมีกระแสข่าวว่าเหตุการณ์ความไม่สงบจะกลับมา​อีก […]

ทบ.ยัน ‘มทภ.2’ ไม่ได้กล่าวรุกล้ำอธิปไตยปมปราสาทตาควาย

11 ส.ค.- โฆษกกองทัพบกโต้กัมพูชา ยันแม่ทัพภาค 2 ไม่ได้กล่าวรุกล้ำอธิปไตยปมปราสาทตาควาย ย้ำไทยไม่มีความพยายาม “ยั่วยุ-วางแผน” ใช้กำลังทางทหารตามที่เขมรกล่าวอ้าง พลตรี​ วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ได้ชี้แจงกรณีกระทรวงกลาโหมกัมพูชาแถลงการณ์ถึงคำสัมภาษณ์ พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เรื่องของปราสาทตาควาย ว่า “ยืนยันว่าเนื้อหาที่แม่ทัพภาคที่ 2 พูด ไม่ได้มีความหมายในแบบที่โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชาได้แถลงไป โดยเฉพาะท่านไม่พูดเรื่องการเคลื่อนย้ายกำลัง เพื่อรุกล้ำอธิปไตยกัมพูชา สิ่งที่ท่านได้กล่าวในวันนั้นคือ ปราสาทตาควายอยู่ภายใต้อธิปไตยของไทย ในช่วงที่มีการปะทะที่ผ่านมาพยายามเข้าไปยึดด้วยการวางกำลัง แต่ยังไม่สำเร็จ จึงได้ทำการวางกำลังบริเวณด้านนอก ห่างจากตัวปราสาท 30 เมตร แต่ในอนาคตจะต้องพยายามนำกลับมาภายใต้การควบคุมของไทยให้ได้ ตามขั้นตอนที่เหมาะสม พร้อมกล่าวว่าเตรียมนำเรื่องต่างๆ ไปพูดคุยเจรจาในวงเจรจาในกรอบการประชุม RBC ที่จะเกิดขึ้นใน 2 สัปดาห์ และย้ำถึงจุดยืนว่าไทยจะไม่ถอยจากแนวการวางกำลังเดิม ขอยืนยันว่า แม่ทัพภาคที่ 2 ไม่ได้พูดถึงเรื่องการใช้กำลังทางทหาร ไปดำเนินการอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นที่กล่าวไปในข้างต้น จึงไม่ใช่ความพยายามที่มีการยั่วยุและมีการวางแผนใช้กำลังทางทหารต่อกรณีปราสาทตาควายอย่างที่กัมพูชากล่าวอ้างแต่อย่างใด” -สำนักข่าวไทย

“บิ๊กเล็ก​” ยันรับฟังข้อเรียกร้องต่ออายุราชการ “มทภ.2” ยึดรอบคอบ

11 ส.ค.- “พล.อ.ณัฐพล​” ยันรับฟังข้อเรียกร้องต่ออายุราชการ “แม่ทัพภาค 2” แต่ต้องพิจารณารอบคอบ เพื่อไม่ให้กระทบขวัญกำลังใจผู้ปฏิบัติงานระดับรอง ที่จะมีโอกาสเติบโตก้าวหน้า พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกระแสข่าวเรียกร้องให้มีการต่ออายุราชการทหาร ของ พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2  โดยยืนยันว่า รับฟังกระแสเรียกร้องดังกล่าว ที่มีมาจากคนไทยที่รักประเทศ และห่วงใยในสถานการณ์ หลังการสู้รบระหว่างไทย-กัมพูชาเพิ่งผ่านไป ซึ่งในฐานะผู้บังคับบัญชา ยืนยันว่ารับฟังข้อเรียกร้องดังกล่าว อย่างไรก็ตามเรี่องนี้ ยืนยันว่าจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ สิ่งสำคัญ ต้องพิจารณาภาพรวมขวัญและกำลังใจของผู้ปฏิบัติงานระดับรอง ที่จะมีโอกาสก้าวหน้าเติบโตต่อไป ซึ่งที่ผ่านมาสถานการร์การสู้รบ ทั้งแม่ทัพภาค 2 เอง และผู้บังคับบัญชาระดับรอง ต่างก็ทำภารกิจอย่างเต็มกำลัง และมีความสามารถทั้งหมด นักวิชาการไม่เห็นด้วยปมต่ออายุราชการ “แม่ทัพภาค 2” ผศ. ดร.วันวิชิต บุญโปร่ง อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต  ได้โพสท์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุถึงประเด็นดังกล่าวว่า เรื่องการขอเสนอการต่ออายุราชการ พลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ออกไปนั้น ตนไม่เห็นด้วย ขอให้วางใจวางสติให้ดี ว่าเราต้องไม่ตกหลุมกับดักของคนภายในและภายนอก […]