กรุงเทพฯ 18 พ.ย. – กกพ.พร้อมให้ใบอนุญาตชิปเปอร์ผู้นำเข้าแอลเอ็นจีรายใหม่ หลังเอกชนสนใจนำเข้าเดิมหลังสัญญาก๊าซฯ กับ ปตท.หมดอายุ แต่ต้องรอนโยบายกระทรวงพลังงานถึงราคา POOL ก๊าซฯ ใหม่เป็นอย่างไร และพร้อมปรับหลักเกณฑ์ให้ สกพ.เป็น ONE STOP SERVICE ได้ในปี 2563
นายสหัส ประทักษ์นุกูล กรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยถึงกรณีเอกชนหลายรายเตรียมขอเสนอเป็น Shipper หรือผู้จัดหาและนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี ) ว่า ทาง กกพ.พร้อมพิจารณา เรื่องการให้ใบอนุญาต เพราะมีหลักเกณฑ์ไว้แล้ว แต่สิ่งสำคัญ คือ ต้องรอนโยบายจากกระทรวงพลังงาน ในเรื่องการคำนวณราคาก๊าซตลาดรวม (Pool ) จะคิดคำนวณอย่างไร และมีผลต่อค่าไฟฟ้าอย่างไร จะแยกจาก POOL ในปัจจุบันหรือไม่ จากที่ปัจจุบัน บมจ.ปตท.เป็นผู้นำเข้ารายเดียว และคิดราคา Pool จากราคาเฉลี่ยจากแหล่งก๊าซธรรมชาติในประเทศ, แหล่งเมียนมาและการนำเข้าแอลเอ็นจี ซึ่งรับทราบว่ากระทรวงฯกำลังศึกษาเรื่องนี้ โดยจะรอผลการนำเข้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่จะทดสอบการนำเข้าแอลเอ็นจี ในรูปแบบราคาตลาดจร (SPOT) 2 ลำเรือ ลำละ 65,000 ตัน และจะปรับโครงสร้าง Pool อย่างไร หลังจากนั้นหากมีความชัดเจนเรื่องโครงสร้างราคาก๊าซฯ ทาง กกพ.พร้อมจะให้ใบอนุญาต Shipper แอลเอ็นจีต่อไป
ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ของ สกพ.กำหนดว่าในส่วนของผู้ขอนำเป็น Shipper นั้น จะต้องมีลูกค้า หรือมีโรงไฟฟ้าที่จะใช้แอลเอ็นจีที่เป็นผู้ใช้แอลเอ็นจีใหม่ ไม่ขัดกับสัญญาเดิมที่มีข้อตกลงซื้อขายกับ ปตท. โดย ก่อนหน้านี้ ทั้งกลุ่มกัลฟ์ ,บีกริมเพาเวอร์ และราชกรุ๊ป ระบุว่า จะเสนอขอเป็น Shipper นำเข้าแอลเอ็นจีเอง เพราะมีลูกค้าใหม่ทั้งกรณีที่โรงไฟฟ้าเอสพีพีที่ได้รับการต่อสัญญา และโรงไฟฟ้าไอพีพีที่ได้รับใบอนุญาตใหม่ โดยเอกชนต่างมั่นใจว่าการนำเข้าเองจะส่งผลให้ต้นทุนนำเข้ากว่าการซื้อต่อจาก บมจ.ปตท.
นายสหัส กล่าวด้วยว่า กกพ.ได้เร่งสะสางปัญหาที่ทำให้เกิดความล่าช้าในการออกใบอนุญาตต่าง ๆ ซึ่งที่ผ่านมาต้องผ่านการอนุมัติ อนุญาตจากหลายหน่วยงาน ทำให้ขั้นตอนการทำงานยุ่งยาก หากอนุญาตได้รวดเร็ว ก็จะเป็นหนึ่งที่อำนวยความสะดวกแก่ภาคเอกชน และเป็นหนึ่งในการสร้างอันดับขีดความสามารถของประเทศ โดย กกพ.กำลังพิจารณาจะลดทอนหรือตัดใบอนุญาต บางส่วนที่ไม่จำเป็นออกไป ดังนั้น จึงเชื่อมั่นว่าปี 2563 ทางสำนักงาน กกพ.จะเป็นจุดบริการเบ็ดเสร็จครบวงจร หรือ one stop service ในเรื่องที่เกี่ยวข้องได้ เช่น ใบอนุญาต ประกอบกิจการโรงไฟฟ้าต่าง ๆ ใบอนุญาตเกี่ยวกับการนำเข้าแอลเอ็นจี เป็นต้น
ทั้งนี้ กฟผ.ได้ดำเนินการตามมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ในการนำเข้าแอลเอ็นจีแบบตลาดจร โดยจะนำเข้า 2 ลำเรือ ลำเรือละ 65,000 ตัน นำเข้าลำแรกประมาณเดือนธันวาคม 2562 และลำที่ 2 ประมาณเดือนเมษายน 2563 เพื่อทดสอบระบบทั้งช่วงความต้องการแอลเอ็นจีในตลาดโลกสูง (peak) คือ เดือนธันวาคม ซึ่งจะทำให้เห็นผลกระทบค่าไฟและแนวทางบริหารคลังและท่อในช่วง peak ด้วย และในช่วงความต้องการแอลเอ็นจีในตลาดโลกต่ำ (Off-peak) คือ เดือนเมษายน เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าที่โรงไฟฟ้าพระนครใต้ หน่วยที่ 1 จังหวัดสมุทรปราการ โรงไฟฟ้าวังน้อย หน่วยที่ 4 จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และโรงไฟฟ้าบางปะกง หน่วยที่ 5 จังหวัดฉะเชิงเทรา โดย กฟผ.จะรายงานแก่ กบง. เพื่อรับทราบผลกระทบจากการดำเนินการ รวมถึงเปรียบเทียบต้นทุนค่าไฟฟ้า ซึ่งมีผู้ขึ้นทะเบียนจำหน่าย 40 ราย ในจำนวนนี้มี ปตท.ร่วมอยู่ด้วย.-สำนักข่าวไทย
