ข่าวความรุนแรงในครอบครัว ปี 61 คดีฆ่ากันตายสูงขึ้น กทม.แชมป์

รร.แมนดาริน 24 ต.ค.- เปิดสถิติข่าวความรุนแรงในครอบครัว  ปี 2561   พบสูงกว่าปี 2559 ถึงร้อยละ 33.7 เฉพาะคดีฆ่ากันตายสูงขึ้นร้อยละ70 กรุงเทพฯ ครองแชมป์ฆ่ากันตาย   ระบุปัญหาใหญ่เกินกว่าทำงานแบบ      ตั้งรับ แนะทำงานเชิงรุก หนุนกลไกชุมชน



มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ร่วมกับ สสส.จัดเวทีรายงานสถานการณ์ปัญหาความรุนแรงในครอบครัว ประจำปี 2561 ภายใต้หัวข้อ “ฆ่าซ้ำ เจ็บซ้อน ความรุนแรงในครอบครัวพุ่ง เกินตั้งรับ”


น.ส.จรีย์ ศรีสวัสดิ์ หัวหน้าฝ่ายส่งเสริมภาคีเครือข่าย มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล เปิดเผยสถานการณ์ปัญหาความรุนแรงในครอบครัว โดยรวบรวมจากข่าวหนังสือพิมพ์ 10 ฉบับ ระหว่างเดือนมกราคม-ธันวาคม ในรอบปี 61 พบว่า เกิดข่าวความรุนแรงในครอบครัว สูงถึง 623 ข่าว สูงกว่าปี 2559 ร้อยละ35.4 ในจำนวนนี้มีปัจจัยกระตุ้นที่เชื่อมโยงจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์108 ข่าว หรือประมาณร้อยละ17.3 ทั้งนี้หากแบ่งตามประเภทข่าว พบว่า อันดับ1เป็นข่าวฆ่ากันตาย 384 ข่าว รองลงมา ฆ่าตัวตาย 93 ข่าว การทำร้ายกัน 90 ข่าว ตั้งครรภ์ไม่พร้อม 33 ข่าว และความรุนแรงทางเพศของคนในครอบครัว 23 ข่าว  

หากจำแนกความสัมพันธ์ พบว่า เกินครึ่งหรือร้อยละ73.3 เป็นข่าวสามีฆ่าภรรยา ร้อยละ58.2 ข่าวระหว่างคู่รักฝ่ายชายฆ่าฝ่ายหญิง ส่วนกรณีลูกฆ่าพ่อแม่ พบร้อยละ46.5 และการฆ่ากันระหว่างญาติ 45.3 ที่น่าเป็นห่วงที่สุด ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง443 คน ซึ่งสูงขึ้นถึง173 คน เมื่อเทียบกับจำนวนผู้เสียชีวิตในข่าวปี 2559 (270 คน) คิดเป็นร้อยละ 64

สำหรับประเภทข่าวการฆ่าตัวตาย พบว่า ผู้ชายฆ่าตัวตายมากกว่าผู้หญิง คือผู้ชายฆ่าตัวตาย 54 ข่าว (ร้อยละ 58.1) เพศหญิงฆ่าตัวตาย34 ข่าว (ร้อยละ 36.5) ประเภทข่าวการทำร้ายกัน พบว่า กรณีคู่รักแบบแฟนทำร้ายกันสูงที่สุด 40 ข่าว (ร้อยละ 44.5) รองลงมาสามีทำร้ายภรรยา 24 ข่าว (ร้อยละ 26.7) พ่อแม่ทำร้ายลูก 17 ข่าว (ร้อยละ 18.8) ประเภทข่าวความรุนแรงทางเพศของบุคคลในครอบครัว พบว่า เกิดขึ้นในระหว่างเครือญาติสูงที่สุด 11 ข่าว (ร้อยละ 47.8) รองลงมาพ่อเลี้ยงกระทำลูกเลี้ยง 9 ข่าว (ร้อยละ 39.1) พ่อกระทำลูก 3 ข่าว (ร้อยละ13.1) ส่วนจังหวัดที่มีการฆ่ากันตายมากที่สุด ได้แก่ กรุงเทพฯ รองลงมา พิจิตร และฉะเชิงเทรา ทั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่า ข่าวฆ่ากันตายต่างจากทุกปีที่ผ่านมา เนื่องจากจะกระจุกตัวอยู่เป็นบางจังหวัดเท่านั้น แต่ในปี2561 พบว่า ข่าวฆ่ากันตาย ได้ขยายไปเกือบครบทุกจังหวัดทั่วประเทศ

น.ส.อังคณา อินทสา หัวหน้าฝ่ายส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล กล่าวว่า มูลนิธิฯได้รวบรวมข้อมูลปี 2561 ที่มีผู้มาใช้บริการปรึกษาปัญหาความรุนแรงในครอบครัว จำนวน 32 คน อายุ 31-40 ปี ส่วนใหญ่ระดับการศึกษาปริญญาตรี สำหรับการดำเนินการทางกฎหมาย พบว่า ผู้ใช้บริการส่วนใหญ่ใช้ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550 จำนวน 14 กรณี รองลงมา คือ คดีแพ่งและพาณิชย์ จำนวน 11 กรณี และคดีอาญา จำนวน 7 กรณี ซึ่งผู้ใช้บริการทุกคนถูกกระทำความรุนแรงด้านจิตใจก่อน และด้านร่างกายจะตามมา เช่น ทุบตี ใช้ไม้ ใช้ค้อน เตะ ชก และใช้เชือกมัดกับต้นไม้ เป็นต้น

“ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวของไทยมาถึงจุดเปราะบาง ที่ไม่สามารถทำงานตั้งรับกันแบบเดิมได้อีกต่อไป  เพราะเกินกว่าที่จะรับมือแบบปกติได้ อยากฝากข้อเสนอถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ 1.สร้างความตระหนักให้สังคมเข้าใจในเรื่องความรุนแรงในครอบครัว รณรงค์อย่างต่อเนื่องให้ทุกภาคส่วนเห็นถึงความสำคัญ  ปรับทัศนคติ ความคิด ความเชื่อว่าเรื่องครอบครัวไม่ใช่เรื่องส่วนตัว ทุกคนต้องเคารพในสิทธิเนื้อตัวของกันและกัน  2.ใช้กลไกชุมชนเป็นฐานลดปัญหาความรุนแรงในครอบครัวโดยผู้นำชุมชนจะเป็นผู้นำความเปลี่ยนแปลง กระตุ้นให้คนในชุมชนไม่นิ่งเฉย ได้รับการส่งเสริมพัฒนารู้วิธีการจัดการแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัวระดับชุมชนได้ 3.ควบคุมปัจจัยเสี่ยงหรือปัจจัยกระตุ้น ทั้งอาวุธปืน และการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และ 4.การแก้ไข พ.ร.บ.ส่งเสริมการพัฒนาคุ้มครองสถาบันครอบครัว พ.ศ.2562 ต้องกลับไปตั้งหลักกันใหม่โดยมุ่งคุ้มครองผู้ถูกกระทำเป็นหลักก่อน เพราะการมุ่งรักษาสถาบันครอบครัวในขณะที่มีการกระทำความรุนแรงนั้น อาจนำมาซึ่งความสูญเสียเป็นปัญหาที่ใหญ่กว่าและบานปลายได้” น.ส.อังคณา กล่าว

ด้าน น.ส.อุษา เลิศศรีสันทัด ผู้อำนวยการมูลนิธิผู้หญิง กล่าวว่า สถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น สะท้อนการจัดการของรัฐว่ายังไม่มีประสิทธิภาพ อีกทั้ง พ.ร.บ.ส่งเสริมการพัฒนาคุ้มครองสถาบันครอบครัว พ.ศ.2562 ที่ถูกชะลอไว้ ควรจะยกเลิกไปโดยปริยาย แล้วปรับเนื้อหาพ.ร.บ.ที่กำลังจะแก้ใหม่ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ความรุนแรง โดยเน้นการคุ้มครองเยียวยา เพื่อหยุดความรุนแรง เนื่องจากเนื้อหาพ.ร.บ.ส่งเสริมฯ ดังกล่าวให้โอกาสผู้กระทำได้กลับตัว กลายเป็นผู้หญิงต้องรองรับการถูกกระทำซ้ำ จนกลายเป็นฟางเส้นสุดท้าย เกิดความรุนแรงฆ่าสามี เพราะรัฐไม่ยอมใช้กระบวนการทางอาญามาจัดการ เน้นคุ้มครองไกล่เกลี่ย มองเป็นปัญหาลิ้นกับฟัน

“ทางออกคือ ตำรวจต้องไม่เลือกปฏิบัติ ต้องทำให้ผู้กระทำรู้ว่าตัวเองละเมิดสิทธิมีความผิดทางอาญา สื่อสารให้ชัดเจน ทั้งฝ่ายปกครอง ฝ่ายคุ้มครอง เมื่อผู้หญิงประสบปัญหาต้องขอความช่วยเหลือได้ ควรปรับปรุงระบบศูนย์พึ่งได้ กระทรวงสาธารณสุข ที่เป็นส่วนงานฉุกเฉิน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล หรือสถานีอนามัยตรวจสอบให้ชัดเจน แล้วค่อยส่งต่อโรงพยาบาลระดับจังหวัด อยากฝากถึงรัฐบาลที่กำลังพิจารณาการจัดสรรงบประมาณปี63 ให้ลงลึกแก้ปัญหาความรุนแรงในครอบครัว มีการทำงานอย่างเป็นระบบมีประสิทธิภาพ เกิดมิติความเสมอภาคระหว่างเพศ เคารพสิทธิซึ่งกันและกัน” น.ส.อุษา กล่าว

ขณะที่ นายอนุกูล ปีดแก้ว รองอธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) กล่าวว่า จากข้อมูลบ้านพักเด็กฉุกเฉิน ที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง พบว่า คนใกล้ชิด คนรู้จัก หรือคนในครอบครัว มักเป็นต้นเหตุทำให้เกิดปัญหาความรุนแรงมากที่สุด สำหรับแนวทางแก้ปัญหา เรามี พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก ปี 46 รวมถึงพยายามให้เกิดตำบลคุ้มครองเด็ก โดยการคัดกรองความเสี่ยงของเด็กในชุมชน เก็บเป็นฐานข้อมูลระดับความเสี่ยง เขียว เหลือง แดง มีทีมนักสังคมสงเคราะห์ นักจิตวิทยา เข้าไปพูดคุยคอยให้คำปรึกษา ซึ่งเราพยายามให้ครอบคลุมทั้ง 76 จังหวัด 

นอกจากนี้ พ.ร.บ.ส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ จะเป็นเครื่องมือ เพื่อให้เกิดกลไก โดยสภาเด็กและเยาวชนจะมีส่วนร่วม เกิดเป็นจิตอาสา นำมาสู่การปรับเปลี่ยนทัศนคติ ปรับพฤติกรรม เคารพสิทธิผู้อื่น ซื่อสัตย์ มีวินัย ซึ่งเป็นการปลูกต้นกล้าระยะยาว เพราะ พม.ทำงานเพียงลำพังไม่ได้ ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน  สำคัญที่สุดคือประชาชน  ชุมชน ต้องลุกขึ้นมาเอาธุระ  ไม่เพิกเฉยต่อความรุนแรงหรือปัญหาที่เกิดขึ้นกับเด็ก เยาวชน และครอบครัว  ควรระลึกอยู่เสมอว่าการนิ่งเฉยปล่อยผ่าน ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวจะยิ่งซ้ำเติมเพิ่มความรุนแรงของปัญหา .-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ผบ.พล.7 ของเขมร โดนกระสุนปืนใหญ่ยิงดับ บนช่องตาเฒ่า-ภูมะเขือ

26 ก.ค. – พลตรีดวง ซอมเนียง ผบ.พล.7 ถูกกระสุนปืนใหญ่ยิงเสียชีวิต ที่ช่องตาเฒ่า-ภูมะเขือ จากการปะทะแย่งชิงพื้นที่ระหว่างทหารไทย-กัมพูชา ตลอดวันนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การปะทะระหว่างทหารไทย กับทหารกัมพูชา บริเวณภูมะเขือ และช่องตาเฒ่า ตั้งแต่เช้ามืดวันนี้ ทหารไทยสามารถปกป้องพื้นที่ภูมะเขือ และกดดันทหารกัมพูชาออกจากพื้นที่ได้สำเร็จ ในขณะที่ทหารกัมพูชา พยายามกลับเข้ามาโจมตีกลับ เพื่อยึดภูมะเขือ ส่งผลให้มีทหารกัมพูชาเสียชีวิตหลายนาย หนึ่งในนั้นคือ พลตรีดวง ซอมเนียง ผบ.พล.7 ถูกกระสุนปืนใหญ่ยิงเสียชีวิต ที่ช่องตาเฒ่า-ภูมะเขือ. – สำนักข่าวไทย

ทอ.ส่ง F-16 และ กริพเพน โจมตีสกัดอาวุธวิถีโค้งกัมพูชา

26 ก.ค.- กองทัพอากาศส่ง F-16 และ กริพเพน โจมตียุทธบริเวณ “ภูมะเขือ” สกัดอาวุธวิถีโค้งกัมพูชา อีกจุดปราสาทตาเมือนธม ผลปฏิบัติลุล่วงกลับฐานปฏิบัติด้วยความปลอดภัย เมื่อวันที่ 26 ก.ค.68 กองทัพอากาศ ส่งเครื่องบินขับไล่ F-16 จำนวน 2 ลำ และเครื่องบินกริพเพน จำนวน 2 ลำ ออกปฏิบัติการโจมตี พื้นที่ยุทธบริเวณเป้าหมายทหาร ของทางทหารกัมพูชาบริเวณภูมะเขือ หลังทหารกัมพูชาเตรียมใช้อาวุธวิธีโค้งยิงใส่ฝ่ายไทยหวังยึดภูมะเขือ ส่วนอีกจุดบริเวณปราสาทตาเหมือนธม โดยเป็นจุดที่ทางทหารกัมพูชาได้ตั้งปืนใหญ่และกำลังพลยิงข้ามมายังฝั่งประเทศไทยโดยไร้ทิศทาง ทั้งนี้ผลการปฏิบัติการ ทำลายเป้าหมายได้ทั้งสองจุด ลุล่วงไปด้วยดี และได้บินกลับฐานปฏิบัติด้วยความปลอดภัย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การขึ้นบินกริพเพนของกองทัพ ในภารกิจสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ครั้งนี้ ถือเป็น ‘ประวัติศาสตร์’ ของเครื่องบินขับไล่กริพเพนที่มีประจำการในหลายประเทศ ที่ใช้ในภารกิจสู้รบ-ใช้อาวุธจริงครั้งแรก ที่ผ่านมา กริพเพน ถูกใช้เพียงภารกิจบินรักษาอาณาเขต เช่น บริเวณทะเลบอลติกในทวีปยุโรป ในฐานะสมาชิก ‘นาโต้’ ผ่านเหตุการณ์สู้รบ ‘ยูเครน-รัสเซีย’ และภารกิจเฝ้าตรวจ-คุ้มกันน่านฟ้า ประเทศลิเบีย ที่กองทัพอากาศสวีเดนเข้าร่วมภารกิจ -สำนักข่าวไทย

กริพเพน

ทอ. ส่ง F16 – กริพเพน ปฏิบัติการรอบ 2 ทิ้งบอมบ์พื้นที่ทางทหารเขมร

26 ก.ค. – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เครื่องบินขับไล่ F-16 จำนวน 2 ลำ และกริพเพน 2 ลำ ออกปฏิบัติการรอบสอง โจมตียุทธบริเวณทำลายพื้นที่ทหารกัมพูชา บริเวณปราสาทตาควาย อ.พนมดง จ.สุรินทร์ ภารกิจลุล่วง และกับฐานปฏิบัติโดยปลอดภัย สำหรับพื้นที่บริเวนนี้ ทหารไทยกับทหารกัมพูชา ปะทะกันดุเดือด โดยทหารไทยพยายามทำลายพื้นที่กัมพูชาวางกำลังไว้หลายระลอก ในขณะที่กัมพูชาโต้กลับและระดมกำลังทหารมาเพิ่มเติม ส่งผลให้พื้นที่บริเวนนี้มีการปะทะดุเดือดตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค.ถึงวันนี้. – สำนักข่าวไทย

เปิดภาพคลังอาวุธทหารเชมร “สมรภูมิภูมะเขือ”

26 ก.ค.- เปิดภาพคลังอาวุธทหารเชมร “สมรภูมิภูมะเขือ” ทหารไทยยึดอาวุธปืน-โดรน 11 รายการ พร้อมมือถือ 7 เครื่อง ใช้ถ่ายคลิปยั่วยุทหารไทย เมื่อวันที่ 26 ก.ค.68 รายงานข่าวจากกองทัพภาคที่ 2 ระบุว่า สำหรับปฏิบัติการ ของเจ้าที่ทหารกองทัพภาคที่ 2 บนภูมะเขือที่สามารถยึดกลับคืนมาได้ ทำให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 10 นาย พร้อมทั้งตรวจพบและสามารถยึดอาวุธ ยุทโธปกรณ์ จำนวน 11 รายการ ประกอบด้วย นอกจากนี้ยังพบโทรศัพท์มือถือ 7 เครื่อง ที่ทางทหารกัมพูชาชอบถ่ายในเวลาทำคลิปเมื่อเจอกับทหารไทยบริเวณแนวชายแดน -สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

ทอ.โต้กัมพูชาอ้างขุดพบ MK-84 ชี้ระเบิดเก่าขึ้นสนิม ยันไม่ใช่ของไทย

31 ก.ค.- โฆษกกองทัพอากาศ ยันระเบิดที่ถูกขุดพบจากกัมพูชา ไม่ใช่ของกองทัพอากาศที่ปฏิบัติกับฐานที่มั่นทางทหารของกัมพูชา ตั้งข้อสังเกตเก่า เหมือนถูกขุดจากใต้ที่พักอาศัย จากกรณีที่พบระเบิด MK-84 ที่กัมพูชาขุดขึ้น ตามที่เฟซบุ๊กของนายแฮง รัตนา เอาภาพมาลงนั้น พลอากาศโท ประภาส สอนใจดี โฆษกกองทัพอากาศ ระบุกว่า ได้มีข้อสังเกตว่า ระเบิดดังกล่าวอยู่ในสภาพเก่าและมีลักษณะคล้ายถูกขุดขึ้นมาจากใต้ที่พักอาศัยของประชาชน จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดจากปฏิบัติการทางอากาศในช่วงที่ผ่านมา ดูจากสภาพที่ขึ้นสนิมไม่ใช่ของกองทัพอากาศไทย เนื่องจากลูกระเบิดที่กองทัพอากาศใช้มีสภาพใหม่และสมบูรณ์ ไม่เป็นสนิมขนาดนั้น ดูจากเส้นรอบวงโดยประมาณและความยาวคาดว่าเป็นลูกระเบิดอากาศขนาด 2000 ปอนด์ แบบตะวันตกที่มีใช้ทั่วไปสภาพความลึก และวางขนานกับพื้น ไม่เหมือนทิ้งจากเครื่องบิน .-313 -สำนักข่าวไทย

“ภูมิธรรม” ปัดตอบเสียปราสาทตาควาย ไม่เชื่อลมปากตระกูลฮุน

กระทรวงมหาดไทย 31 ก.ค.- “ภูมิธรรม” เสียใจผู้อพยพจบชีวิตเหตุเครียดอยากกลับบ้าน ขอประเมินให้ปลอดภัยก่อน บอกไทยประสบความสำเร็จยึดดินแดนได้ ปัดตอบเสียปราสาทตาควาย ไม่เชื่อลมปาก 2 พ่อลูกตระกูลฮุน ชี้ ทหารกัมพูชา 18 นาย รุกล้ำเข้าไทยหลังประกาศหยุดยิง เตรียมส่งตัวคืน แต่อีกฝ่ายปล่อยเฟกนิวส์ จึงต้องคุมตัวสอบก่อน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีการประเมินสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ขณะนี้ประชาชนที่อยู่ในศูนย์อพยพสามารถเดินทางกลับบ้านได้แล้วหรือไม่ เนื่องจากตอนนี้พบว่ามีประชาชนฆ่าตัวตาย เพราะเครียดต่อสถานการณ์และอยากกลับบ้าน ว่าตนขอแสดงความเสียใจกับผู้เสียชีวิต พร้อมยอมรับว่าเป็นความห่วงใยของรัฐบาล แม้ว่าจะอยากให้เดินทางกลับบ้านพักเลยแต่สถานการณ์ยังไม่มั่นใจ 100 % เพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่กัมพูชาพูดสามารถเชื่อได้หรือไม่ เพราะที่ผ่านมามักบิดเบือนจากข้อเท็จจริง ซึ่งต้องรอการประเมินอีกครั้งหนึ่งก่อนว่าหากไม่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นก็สามารถเดินทางกลับบ้านพักได้ ขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับว่าการที่กัมพูชาพาผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศลงพื้นที่ เป็นเพราะเขาเป็นผู้ก่อเหตุจึงมั่นใจว่าเราจะไม่ทำอะไร และเราเองก็เป็นฝ่ายถูกกระทำ เพราะฉะนั้นเราจึงไม่มั่นใจว่ากัมพูชาจะกระทำอย่างไร ส่วนไทยจะใช้มาตรการเชิงรุกทั้งด้านการทูตและด้านพื้นที่อย่างไร นายภูมิธรรม ระบุว่า ขณะนี้เราไม่ได้ด้อยไปกว่าเขา การดำเนินการต่างๆเราก็คุยกับนานาชาติอยู่เสมอ แต่ข้อสำคัญอยู่ที่หลักฐานเพราะเขาพูดไปได้เรื่อยๆ แต่เราพูดมีหลักฐานรองรับ ขณะที่ข้อเท็จจริงเรื่องปราสาทตาควายที่มีการพูดกันว่าทางกัมพูชาเข้าครอบครองตัวปราสาท แต่เราได้ครอบครองเพียงพื้นที่โดยรอบ นายภูมิธรรม กล่าวว่า หากพูดถึงในแง่การยุทธ์ การยึดคืนในพื้นที่ต่างๆ ถือว่าเราประสบความสำเร็จ ผู้สื่อข่าวจึงถามย้ำว่า แล้วพื้นที่ตัวปราสาทเป็นเช่นไร […]

กต.นำผู้ช่วยทูตทหารลงพื้นที่จุดปะทะชายแดนพรุ่งนี้

31 ก.ค. – โฆษก กต. เตรียมนำผู้ช่วยทูตทหาร ลงพื้นที่จุดปะทะ พรุ่งนี้ (1 ส.ค.68) ขณะที่ ผบ.ทสส.มาเลเซีย พบแม่ทัพภาคที่ 1 และ 2 เพื่อรับฟังสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา รวมถึงแนวทางการแก้ไขปัญหา นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยถึงว่าที่ทูตสหรัฐประจำประเทศไทยคนใหม่ เตือนไทยทำสงครามกับเพื่อนบ้านจะเป็นอันตรายต่อความเป็นพันธมิตรไทย-สหรัฐ ตรวจสอบแล้วว่ามีการพูดจริง แต่เป็นการพูดในการพิจารณารับรองของกับวุฒิสภาสหรัฐ กัมพูชาเอาไปปั่นกระแส เสมือนว่าพูดโจมตีประเทศไทย ส่วนกรณีกัมพูชาเชิญผู้แทนทางทูตและผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารจาก 13 ประเทศ ลงพื้นที่จุดผ่อนปรน เรื่องนี้ไทยไม่กังวล แต่กัมพูชาควรกังวลมากว่า เพราะเป็นฝ่ายละเมิดข้อตกลงหยุดยิง เพราะฉะนั้นถ้าทูตสำรวจละเอียดจริง ก็คงเห็นข้อเท็จจริง และขณะนี้กระทรวงกลาโหมของไทยกำลังประสานกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และจะนำผู้ช่วยทูตทหารและสื่อมวลชนลงพื้นที่ในส่วนของไทยเหมือนกัน โดยคาดว่าจะเป็นวันศุกร์นี้ (1 ส.ค.) จะได้เห็นสถานที่ เห็นข้อเท็จจริง และเห็นพื้นที่ที่เกี่ยวกับการทำร้ายประชาชน ผบ.ทสส.มาเลเซีย พบแม่ทัพภาพ 1-2 รับทราบข้อเท็จจริง ด้าน พลเอก ดาโต๊ะ โมฮัมหมัด นิซัม จาฟฟาร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดมาเลเซีย […]

เอกอัครราชทูตชี้แจงข้อเท็จจริงยูเอ็น ปมกัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง

31 ก.ค. – เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ขึ้นเวทียูเอ็น ชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีกัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2568 ระหว่างการประชุมระดับสูงระหว่างประเทศว่าด้วยการระงับข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธีและการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ชี้แจงข้อเท็จจริงเรื่องกัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ระหว่างการกล่าวถ้อยแถลง เนื่องจากกัมพูชากล่าวพาดพิงไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ในเวทีดังกล่าว ไทยเข้าร่วมการประชุมโดยมีเป้าหมายร่วมกับประชาคมระหว่างประเทศในการผลักดันการแก้ปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธีผ่านแนวทางสองรัฐ.-สำนักข่าวไทย