กรุงเทพฯ 19 ต.ค.- บี.กริม เพาเวอร์ ผู้ผลิตไฟฟ้าภาคเอกชน มั่นใจช่วงดอกเบี้ยต่ำ นักลงทุนจะสนใจจองซื้อหุ้นกู้ด้อย 8พันล้านบาท ยันไม่กระทบจากมาตรฐานบัญชีใหม่ ชูจุดแข็งธุรกิจไฟฟ้าที่มีสัญญาซื้อขายกับภาครัฐระยะยาว-รายได้มั่นคง
นางปรียนาถ สุนทรวาทะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บี.กริม เพาเวอร์ ( BGRIM) เปิดเผยว่า หุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนของ BGRIM ที่จะออกและเสนอขายมูลค่า 6 พันล้านบาท พร้อมส่วนสำรองเสนอขายอีกไม่เกิน 2 พันล้านบาท รวม 8 พันล้านบาท ที่จะเสนอขายให้แก่นักลงทุนทั่วไปในระหว่างวันที่ 19-21 พ.ย.นี้ คาดว่าจะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการที่หุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ BBB+ และอันดับความน่าเชื่อถือองค์กรที่ระดับ A แนวโน้ม “คงที่” จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ซึ่งเป็นระดับลงทุนได้หรือ Investment Grade การกำหนดผลตอบแทนในช่วง 5 ปีแรกอยู่ที่ ร้อยละ5 ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราผลตอบแทนที่น่าพอใจ และการที่บริษัทฯ อยู่ในอุตสาหกรรมไฟฟ้าที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับภาครัฐระยะยาวและมีรายได้ที่มั่นคง มีโอกาสในการเติบโตในอนาคตอย่างไม่หยุดยั้งจากความต้องการใช้ไฟฟ้าทั้งในประเทศไทยและในต่างประเทศ
ส่วนกรณีที่นักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับการใช้มาตรฐานการบัญชีใหม่ TAS 32 ที่ส่งผลกระทบกับบริษัทที่ออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนฯ นั้น บริษัทฯ ขอชี้แจงให้ทราบว่า บริษัทฯ ได้คำนึงถึงผลกระทบจากการนำมาตรฐานการบัญชีใหม่มาใช้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้น หุ้นกู้ด้อยสิทธิฯ ของ BGRIM ที่จะออกและเสนอขายในครั้งนี้ จึงมีข้อกำหนดเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่จะจัดประเภทเป็นทุนทางบัญชีภายใต้มาตรฐานการบัญชีใหม่ได้ทั้งจำนวน
ทั้งนี้ BGRIM ดำเนินธุรกิจไฟฟ้ามากว่า 20 ปี ในปัจจุบัน มีกำลังการผลิตที่มาจากในไทยราวร้อยละ 75ต่างประเทศร้อยละ 25 โดยบริษัทฯ มีเป้าหมายที่จะขยายกำลังการผลิตเป็น 5,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2565 จากปัจจุบันที่มีโครงการโรงไฟฟ้าทั้งหมดตามสัญญาทั้งอยู่ระหว่างการก่อสร้างและผลิตไฟฟ้าแล้ว 56 โครงการ ทยอยเข้าระบบทั้งหมดภายในปี2568 กำลังการผลิตรวม 3,245 เมกะวัตต์
“บีกริมเพาเวอร์ อยู่ในอุตสาหกรรมไฟฟ้าซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่มีความจำเป็นแล้ว มีสัญญาขายไฟฟ้าและไอน้ำกับโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมในไทย 6 แห่ง มีอายุสัญญาประมาณ 10-15 ปี มีโรงไฟฟ้าใน ลาวและเวียดนาม มีความมั่นคงและผลตอบแทนของหุ้นกู้ก็อยู่ในระดับที่น่าพอใจ คาดว่าหุ้นกู้ครั้งนี้ จะเป็นในหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจและเหมาะกับการลงทุนในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ และภาพรวมการลงทุนยังมีความผันผวนจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ” นางปรียนาถ กล่าว
สำหรับผู้ลงทุนที่สนใจ สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.sec.or.th หรือติดต่อผ่านสาขาธนาคารดังต่อไปนี้ ธนาคารกรุงเทพ ,ธนาคารกรุงไทย ,ธนาคารกสิกรไทย,ธนาคารไทยพาณิชย์ ,บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร และ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส –สำนักข่าวไทย