ครม.เศรษฐกิจออก 18 มาตรการดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติ

ทำเนียบรัฐบาล 11 ต.ค. – ครม.เศรษฐกิจปลดล็อก 18 มาตรการ หนุนท่องเที่ยวปี 62 ทำได้ตามเป้า ด้วยยอดนักท่องเที่ยว 39.8 ล้านคน รายได้ 2.04 ล้านล้านบาท เพื่อให้เศรษฐกิจไทยโตไม่ต่ำกว่าร้อยละ 3


นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง แถลงผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ หรือ ครม.เศรษฐกิจ ว่า ที่ประชุมครม.เศรษฐกิจซึ่งมีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน อนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและอำนวยความสะดวกด้านการท่องเที่ยว สำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ในวันนี้รวม 18 มาตรการ นับเป็นการปลดล็อคครั้งใหญ่เพื่อให้มั่นใจได้ว่า การท่องเที่ยวไทยจะเดินหน้าได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ คือ มีจำนวนนักท่องเที่ยวรวม 39.8 ล้านคน  มีรายได้ 2.04 ล้านล้านบาท ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย(จีดีพี) ปีนี้ให้โตไม่ต่ำกว่าร้อยละ 3 นอกจากนี้ จะช่วยให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง Event สำคัญดึงดูดนักท่องเที่ยว และการท่องเที่ยวแบบ Thailand Plus One มาไทยแล้วไปเที่ยวต่อประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ลาว เวียดนาม และกัมพูชา เป็นต้น ท่ามกลางผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกและการแข่งขันที่รุนแรงจากประเทศคู่แข่งด้านการท่องเที่ยวที่เติบโตรวดเร็วอย่างเวียดนาม

สำหรับภาพรวมการท่องเที่ยวของไทยยังเติบโตดี แม้เงินบาทแข็งค่า แต่ละเดือนมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยเฉลี่ยเดือนละประมาณ 3.5 ล้านคน ขณะที่คนไทยก็ท่องเที่ยวและจัดสัมมนาในประเทศด้วยเช่นกัน โดยรัฐบาลออกมาตรการต่าง ๆ เข้ามาช่วยเช่น มาตรการ ชิม ช้อป ใช้ “เที่ยววันธรรมดา ราคาช็อคโลก”   และ“100 เดียวเที่ยวทั่วไทย” และการกระตุ้นให้มีการจัดประชุมสัมมนาของหน่วยภาครัฐและเอกชน เป็นต้น


“ในอนาคตเมื่อปลดล็อคทุกอย่างได้ มีการจูงใจมี Event ดึงดูดนักท่องเที่ยวก็จะเป็นแรงขับเคลื่อนในปีต่อไปได้ และเป็นภาคที่สดใสที่สร้างรายได้เข้าประเทศ” นายกอบศักดิ์ กล่าว

นายโชติ ตราชู ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวถึงสถานการณ์นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ในช่วง 8 เดือนแรกปีนี้(ม.ค.-ส.ค.62) มียอดรวม 26.56 ล้านคน เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมาคิดเป็นร้อยละ 2.83 สร้างรายได้สะสม 1.28 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 2.91เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมา ดังนั้น ในช่วง 4 เดือนที่เหลือปีนี้ (ก.ย.-ธ.ค.62) จะต้องดึงนักท่องเที่ยวเข้ามาอีกรวม 13.3 ล้านคน แบ่งเป็นเดือน ก.ย. 3.04 ล้านคน ต.ค. 3.22 ล้านคน พ.ย. 3.24 ล้านคน และเดือนธ.ค. 3.94 ล้านคน ด้าน รายได้จะต้องทำให้ได้อีกรวม 7.5 แสนล้านบาท แบ่งเป็นเดือน ก.ย.  0.18 ล้านล้านบาท ต.ค. 0.17 ล้านล้านบาท พ.ย. 0.18 ล้านล้านบาท และเดือนธ.ค. 0.23 ล้านล้านบาท

ทั้งนี้เพื่อสร้างรายได้ จึงออกมาตรการ 2 กลุ่ม คือ  กลุ่มมาตรการอำนวยความสะดวก เช่น E-Visa E-VOA และมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว เช่น การคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม จัดโครงการ Amazing Thailand Grand Sale “Passport Privileges” โดยได้หารือกับสมาคมการค้าปลีกเข้าร่วมโครงการ ซึ่งปีที่ผ่านมา มีร้านค้าร่วมโครงการ 261 แห่ง ปีนี้ตั้งเป้าหมายเพิ่มเป็น 400 แห่ง  และหากซื้อสินค้ามาก ขนกลับไม่สะดวก ปีนี้มีบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เข้ามาร่วมอำนวยความสะดวกลดค่าบริการทันที 500 บาท โดยมีการเปิดให้บริการตามห้างสรรพสินค้า พร้อมกันนี้จะดึงกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพโดยร่วมมือกับสำนักงานส่งเสริมการจัดการประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) ดึงนักท่องเที่ยวกลุ่ม MICE เข้ามาให้มากขึ้น โดยดึงบริษัทขนาดใหญ่ที่มีสาขาทั่วโลกมาจัดกิจกรรมในประเทศไทย เป็นต้น นอกจากนี้ ยังจัดงานกิจกรรมมหกรรมระดับโลกหรือกิจกรรมขนาดใหญ่ ระดับ World Event และ Mega Event ดึงดูดนักท่องเที่ยวด้วย เป็นต้น


นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การเห็นชอบ  18 มาตรการของคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจอุนมัติล่าสุดนี้ จะช่วยให้การท่องเที่ยวไทยบรรลุเป้าหมายปีนี้ ส่วนปี 2536 ตั้งเป้าหมายจะมียอดนักท่องเที่ยวเพิ่มเป็น 41.8 ล้านคน สร้างรายได้เพิ่มเป็น 2.2 ล้านล้านบาท เพราะปัจจุบันไทยมีปัจจัยลบเช่น ภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัยนักท่องเที่ยว ในขณะที่สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติของไทย ที่ WEF จัดลดอันดับลง ปัจจุบันอยู่ลำดับที่ 130 จาก 140 กว่าประเทศ ดังนั้นจุดขายเดิมคือ ธรรมชาติที่สวยงามอาจไม่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวอีกต่อไปได้ ประกอบ การชะลอตัวของเศรษฐกิจของหลายประเทศและค่าเงินที่ผันผวน อีกทั้งการแข่งขันดึงดูดนักท่องเที่ยวที่รุนแรงของประเทศต่าง ๆ เช่น เวียดนามมีอัตราการเติบโตของนักท่องเที่ยวสูงที่สุดในโลก เพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี คศ.2010 ถึง 3 เท่า ปัจจุบันมียอดนักท่องเที่ยวปีละกว่า 15 ล้านคน รวมทั้งยังมีมาเลเซียและอินโดนีเซียเข้ามาแข่งขันกับไทยด้วย

สำหรับมาตรการ ชิม ช้อป ใช้ จะช่วยเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยว ไทยเที่ยวไทย ประมาณร้อยละ 5-10 ด้วยระบบการลงทะเบียนใช้เงินนอกจากหวัดภูมิลำเนา ด้านรายได้จะเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 10-20 ดังนั้น ททท.จึงคาดว่า รายได้ในประเทศน่าจะเพิ่มขึ้นจาก 1.05 ล้านล้านบาท เพิ่มเป็น 1.12 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากมาตรการอื่น ๆ ด้วย เช่น  “เที่ยววันธรรมดา ราคาช็อคโลก”   และ“100 เดียวเที่ยวทั่วไทย” ที่จะออกกลางเดือนหน้า(พ.ย.) ซึ่งในที่ประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจยังสั่งการให้มีการกระตุ้นการจัดสัมมนาในประเทศภายในสิ้นปีด้วย ทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วย สถานการณ์คนไทยเที่ยวในประเทศในช่วง  8 เดือนแรก มียอดรวมรวม 103.5 ล้านคนครั้ง จากปีที่ผ่านมามียอด 160 ล้านคนครั้ง ปีนี้ททท.ต้องการผลักดันให้ได้ 180 ล้านคนครั้ง

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า เพื่อเพิ่มยอดนักท่องเที่ยวในช่วงนอกฤดูการท่องเที่ยวหรือโลซีซั่น ที่ประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจวันนี้(11 ต.ค.) อนุมัติเบื้องต้นให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจัดงานใหญ่ เช่น Moto Gp คอนเสร์ต Tomorrow Land งาน EDC เป็นต้น โดยขณะนี้อยู่ระหว่างหาพื้นที่ที่ต้องการใช้ไม่ต่ำกว่า 500 ไร่ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวคุณภาพสูง เชื่อว่า จะช่วยสร้างรายได้แต่ละครั้งกว่า 10,000 ล้านบาท มีผู้เข้าชมไม่ต่ำกว่าครั้งละ 400,000 คน และนักท่องเที่ยวยังเดินทางท่องเที่ยวต่อในประเทศอีกด้วย นโยบายเปิดสถานบริการจนถึง 4.00 น.ยังอยู่ระหว่างศึกษาสิ้นปีน่าจะเสร็จสินปีนี้ และนำเข้าหารือในที่ประชุมคณะกรรมการัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจต่อไป

สำหรับ 18 มาตรการที่ได้รับการเห็นชอบจากที่ประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจในวันนี้(11 ต.ค.) เช่น มาตรการระยะสั้นภายในปี 2562 มาตรการด้านการเงินการคลังและกฎหมาย ประกอบด้วย การคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยเพิ่มจุดคืนภาษีในพื้นที่เมืองและคืนภาษีในรูปแบบเงินสด ณ จุดขาย การทบทวนข้อกฎหมาย ระเบียบ มาตรการที่เกี่ยวข้องเพื่อส่งเสริมให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวของคนต่างชาติที่อาศัยอยู่ในไทย  และมาตรการหักรายจ่าย 2 เท่าของบริษัทหรือห้าหุ้นส่วนนิติบุคคลสำหรับค่าใช้จ่ายในการจัดอบรมสัมมนาภายในประเทศ 

มาตรการอำนวยความสะดวกและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เช่น การอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวด้านวีซ่า เช่น Double Entries Visa และ Re-entry Permit การขยายระยะเวลาการเปิดด่านชายแดนจาก 8.30-16.30 น. เป็น 24 ชั่วโมงจำนวน 2 ด่าน ได้แก่ ด่านชายแดนไทย-มาเลเซีย และด่านชายแดนไทย-ลาว เป็นระยะเวลา 6 เดือน ขอความร่วมมือกระทรวงการต่างประเทศในการเร่งรัดการใช้ระบบ E-Visa ให้ครอบคลุมกับนักท่องเที่ยวชาวจีนทั่วประเทศ ขอความร่วมมือเร่งประชาสัมพันธ์ระบบ E-VoA ให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติได้รับทราบและเข้าถึงข้อมูล เป็นต้น

มาตรการกระตุ้นตลาดและเพิ่มการใช้จ่าย เช่น โครงการ Amazing Thailand Grand Sale “Passport Privileges” โครงการ ประชุมเมืองไทยภูมิใจช่วยชาติ ส่งเสริมการจัดประชุมภาครัฐนอกสถานที่  

ส่วนมาตรการระยะยาว ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นไป เช่น มาตรการด้านการเงิน การส่งเสริมขึ้นทะเบียนสถานพักแรมและให้สินเชื่อพิเศษสำหรับปรับปรุงสถานประกอบการให้มีมาตรฐาน โดยให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม(บสย.)ค้ำประกัน มาตรการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เช่น ด้านความปลอดภัยและลดจำนวนการสูญเสียชีวิตและการบาดเจ็บของนักท่องเที่ยว การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านวัฒนธรรมโดยเพิ่มจำนวนแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นมรดกโลก 

มาตรการกระตุ้นตลาดและเพิ่มค่าใช้จ่าย โดย การจัดกิจกรรม มหกรรมระดับโลก หรือกิจกรรมขนาดใหญ่ World Event /Mega Event เช่น การจัดงาน วิ่ง Trail/Ultra Trail, Amazing Thailand Marathon Series, Moto GP,Super GT, เป็นต้น การดึงงานประชุมองค์กรจากต่างประเทศมาจัดในประเทศไทย โดยมุ่งเน้นการจัดงานขนาดใหญ่หรืองานที่มีผลกระทบสูง รวมถึงการกระจายพื้นที่จัดงานสู่ภูมิภาค.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

มอบตัวแล้วอดีตเจ้าคณะตำบล ยิงเจ้าอาวาสวัดดัง จ.เลย

มหาสารคาม 6 ส.ค. – มอบตัวแล้วอดีตเจ้าคณะตำบล ยิงเจ้าอาวาสวัดในพื้นที่ อ.เชียงคาน จ.เลย บาดเจ็บ หลังหนีไปกบดานที่บ้านเกิด จ.มหาสารคาม ตำรวจตั้งข้อหาพยายามฆ่า จากกรณี พระอธิการมานพพร อายุ 47 ปี เจ้าอาวาสวัดโพนสว่าง และเจ้าคณะตำบลเขาแก้ว ขับรถยนต์หลบหนีไป หลังใช้ปืนจ่อยิงพระมหาโยธิน เจ้าอาวาสวัดป่าพัฒนาราม และเจ้าคณะตำบลจอมศรี จนได้รับบาดเจ็บ ขณะที่พระครูถาวรเทวธรรม เจ้าคณะตำบลธาตุ และเจ้าอาวาสวัดสวนธรรมเทวราช เจ้าคณะตำบลธาตุ ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ด้วย หลบหนีได้ทันจึงไม่ได้รับบาดเจ็บ เกิดเหตุในวัดพื้นที่ อ.เชียงคาน จ.เลย เมื่อวันที่ 4 ส.ค.ที่ผ่านมา ต่อมาศาลจังหวัดเลยอนุมัติหมายจับในข้อหา “พยายามฆ่าผู้อื่น และมีอาวุธปืน กระสุนปืน พกพาโดยไม่มีเหตุอันควร” วันนี้ ที่ห้องสืบสวน สภ.เมืองมหาสารคาม พระอธิการมานพพร หรือนายมานพพร ผู้ต้องหาก่อเหตุยิงพระ 2 รูป เข้ามอบตัว เนื่องจากถูกตำรวจกดดันอย่างหนัก เบื้องต้นให้การว่า วันเกิดเหตุมีการปรึกษากัน แต่ไม่ได้ทะเลาะ สาเหตุมาจากตนเองโดนกลั่นแกล้งจากทางพระทั้ง […]

แรงงานกัมพูชาแห่กลับประเทศ รัฐบาลขู่ยึดที่ดิน-ถอดสัญชาติ

6 ส.ค. – รัฐบาลกัมพูชาขู่ยึดที่ดินและถอดสัญชาติแรงงานที่ดื้ออยู่ไทย ส่งผลวันนี้ (6 ส.ค.) ชาวกัมพูชาแห่เดินทางกลับประเทศ ทำจุดผ่านแดนถาวรตลาดบ้านแหลม อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี รถติดยาว 8 กิโลเมตร ที่จุดผ่านแดนถาวรตลาดบ้านแหลม ต.เทพนิมิต อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี ตั้งแต่ช่วง 06.00 น. รถติดยาวเหยียดร่วม 8 กิโลเมตร ทั้งรถเช่าเหมา รถตู้ และรถรับจ้างที่ขนแรงงานชาวกัมพูชากลับประเทศ ส่วนภายในบริเวณตลาดบ้านแหลม ช่วงเวลา 07.00 น.ที่ผ่านมา ยังพบชาวกัมพูชาร่วมกว่า 20,000 คน ขนสัมภาระ ข้าวของ มารอเต็มหน้าด่าน มากกว่า 2-3 วันที่ผ่านมา ทั้งนี้ เป็นเพราะมีกระแสข่าวรัฐบาลกัมพูชาขู่จะออกมาตรการเอาจริงกับแรงงานกัมพูชาที่ยังดื้อไม่ยอมกลับประเทศก่อนวันที่ 10 สิงหาคมนี้ จะยึดที่ดินทำกินและถอดสัญชาติ คาดว่าจุดนี้จุดเดียวคนจะกลับกัมพูชาเฉียดครึ่งแสนคน แรงงานกัมพูชากลับประเทศ นายจ้างกลัวไปไม่กลับที่ตลาดสดแห่งหนึ่งใน อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี พบว่ายังมีแรงงานกัมพูชาก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ แต่มีสีหน้าเคร่งเครียดจากกระแสข่าวที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน แรงงานเล่าว่าไม่อยากกลับกัมพูชา กลับไปก็ไม่มีงานทำ ทางครอบครัวที่กัมพูชาก็โทรมาห่วงว่าคนไทยจะทำร้าย […]

เปิดภาพทหารไทยวางรั้วลวดหนามช่องอานม้า ตรึงกำลังเข้ม

6 ส.ค.- เปิดภาพทหารไทยวางรั้วลวดหนามช่องอานม้า พร้อมตรึงกำลังเข้ม ป้องกันทหารกัมพูชาตัดรั้วลวดหนาม รอบ 2 เมื่อวันที่ 6 ส.ค. 68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเจ้าหน้าที่ตรวจพบกำลังทหารกัมพูชาเข้ามาดำเนินการตัดลวดหีบเพลง ที่ทางฝ่ายไทยได้วางไว้เพื่อเสริมความมั่นคงในพื้นที่เขตอธิปไตยของไทย ณ บริเวณพื้นที่ตลาดช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวานนี้ (5 ส.ค.) โดยทางฝ่ายไทยได้ดำเนินการแจ้งให้ยุติการกระทำดังกล่าว พร้อมให้ถอยออกจากพื้นที่ ซึ่งฝ่ายกัมพูชาปฏิบัติตาม และได้ออกจากบริเวณดังกล่าวในทันที ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้เข้าดำเนินการกางลวดหีบเพลงให้เข้าสู่สภาพเดิม ปัจจุบันยังคงมีการตรึงกำลังที่ฐานปฏิบัติการในพื้นที่เขตอธิปไตยของไทย-สำนักข่าวไทย

เอาผิด 2 ข้อหา อดีตทหาร BHQ-เรียกภรรยาให้ข้อมูล

บุรีรัมย์ 6 ส.ค. – ผู้การบุรีรัมย์ เค้นสอบอดีตทหารองครักษ์พิทักษ์ฮุนเซน ยืนยันไม่ได้เป็นสายลับ หลังถูกจับพร้อมเครื่องแบบทหาร-อาวุธปืน เบื้องต้นตั้ง 2 ข้อหา พร้อมเรียกภรรยามาให้ข้อมูล จากกรณีตำรวจ สภ.ลำดวน จ.บุรีรัมย์ จับกุมนายวิน ดา ทหารเขมรชุด BHQ องครักษ์พิทักษ์ฮุน เซน ได้ในบ้านพักหลังหนึ่งใน อ.กระสัง ซึ่งเป็นบ้านของภรรยาชาวไทย พร้อมปืนลูกซองไทยประดิษฐ์และเครื่องกระสุนปืนลูกซองเบอร์ 12 จำนวน 3 นัด กระสุนปืนขนาด.38 อีก 3 นัด และเครื่องแบบทหารที่มีตราสัญลักษณ์ BHQ หลายรายการ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของทหารกัมพูชา หน่วยรบพิเศษ BHQ ซึ่งเป็นองครักษ์พิทักษ์สมเด็จฮุน เซน จึงควบคุมตัวมาสอบปากคำที่สถานีตำรวจภูธรลำดวน อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์ เพราะคาดว่าน่าจะเป็นสายลับเข้ามาฝังตัว ส่งความเคลื่อนไหวทางการทหารไทยให้ฝ่ายกัมพูชา รับเป็นทหารBHQ จริง แต่ไม่ใช่สายลับพล.ต.ต.ณรงค์ศักดิ์ พรหมทา ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ ลงพื้นที่สอบปากคำนายวิน ดา ด้วยตัวเอง ร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง […]