ครม.เศรษฐกิจออก 18 มาตรการดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติ

ทำเนียบรัฐบาล 11 ต.ค. – ครม.เศรษฐกิจปลดล็อก 18 มาตรการ หนุนท่องเที่ยวปี 62 ทำได้ตามเป้า ด้วยยอดนักท่องเที่ยว 39.8 ล้านคน รายได้ 2.04 ล้านล้านบาท เพื่อให้เศรษฐกิจไทยโตไม่ต่ำกว่าร้อยละ 3


นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง แถลงผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ หรือ ครม.เศรษฐกิจ ว่า ที่ประชุมครม.เศรษฐกิจซึ่งมีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน อนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและอำนวยความสะดวกด้านการท่องเที่ยว สำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ในวันนี้รวม 18 มาตรการ นับเป็นการปลดล็อคครั้งใหญ่เพื่อให้มั่นใจได้ว่า การท่องเที่ยวไทยจะเดินหน้าได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ คือ มีจำนวนนักท่องเที่ยวรวม 39.8 ล้านคน  มีรายได้ 2.04 ล้านล้านบาท ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย(จีดีพี) ปีนี้ให้โตไม่ต่ำกว่าร้อยละ 3 นอกจากนี้ จะช่วยให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง Event สำคัญดึงดูดนักท่องเที่ยว และการท่องเที่ยวแบบ Thailand Plus One มาไทยแล้วไปเที่ยวต่อประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ลาว เวียดนาม และกัมพูชา เป็นต้น ท่ามกลางผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกและการแข่งขันที่รุนแรงจากประเทศคู่แข่งด้านการท่องเที่ยวที่เติบโตรวดเร็วอย่างเวียดนาม

สำหรับภาพรวมการท่องเที่ยวของไทยยังเติบโตดี แม้เงินบาทแข็งค่า แต่ละเดือนมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยเฉลี่ยเดือนละประมาณ 3.5 ล้านคน ขณะที่คนไทยก็ท่องเที่ยวและจัดสัมมนาในประเทศด้วยเช่นกัน โดยรัฐบาลออกมาตรการต่าง ๆ เข้ามาช่วยเช่น มาตรการ ชิม ช้อป ใช้ “เที่ยววันธรรมดา ราคาช็อคโลก”   และ“100 เดียวเที่ยวทั่วไทย” และการกระตุ้นให้มีการจัดประชุมสัมมนาของหน่วยภาครัฐและเอกชน เป็นต้น


“ในอนาคตเมื่อปลดล็อคทุกอย่างได้ มีการจูงใจมี Event ดึงดูดนักท่องเที่ยวก็จะเป็นแรงขับเคลื่อนในปีต่อไปได้ และเป็นภาคที่สดใสที่สร้างรายได้เข้าประเทศ” นายกอบศักดิ์ กล่าว

นายโชติ ตราชู ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวถึงสถานการณ์นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ในช่วง 8 เดือนแรกปีนี้(ม.ค.-ส.ค.62) มียอดรวม 26.56 ล้านคน เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมาคิดเป็นร้อยละ 2.83 สร้างรายได้สะสม 1.28 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 2.91เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมา ดังนั้น ในช่วง 4 เดือนที่เหลือปีนี้ (ก.ย.-ธ.ค.62) จะต้องดึงนักท่องเที่ยวเข้ามาอีกรวม 13.3 ล้านคน แบ่งเป็นเดือน ก.ย. 3.04 ล้านคน ต.ค. 3.22 ล้านคน พ.ย. 3.24 ล้านคน และเดือนธ.ค. 3.94 ล้านคน ด้าน รายได้จะต้องทำให้ได้อีกรวม 7.5 แสนล้านบาท แบ่งเป็นเดือน ก.ย.  0.18 ล้านล้านบาท ต.ค. 0.17 ล้านล้านบาท พ.ย. 0.18 ล้านล้านบาท และเดือนธ.ค. 0.23 ล้านล้านบาท

ทั้งนี้เพื่อสร้างรายได้ จึงออกมาตรการ 2 กลุ่ม คือ  กลุ่มมาตรการอำนวยความสะดวก เช่น E-Visa E-VOA และมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว เช่น การคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม จัดโครงการ Amazing Thailand Grand Sale “Passport Privileges” โดยได้หารือกับสมาคมการค้าปลีกเข้าร่วมโครงการ ซึ่งปีที่ผ่านมา มีร้านค้าร่วมโครงการ 261 แห่ง ปีนี้ตั้งเป้าหมายเพิ่มเป็น 400 แห่ง  และหากซื้อสินค้ามาก ขนกลับไม่สะดวก ปีนี้มีบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เข้ามาร่วมอำนวยความสะดวกลดค่าบริการทันที 500 บาท โดยมีการเปิดให้บริการตามห้างสรรพสินค้า พร้อมกันนี้จะดึงกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพโดยร่วมมือกับสำนักงานส่งเสริมการจัดการประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) ดึงนักท่องเที่ยวกลุ่ม MICE เข้ามาให้มากขึ้น โดยดึงบริษัทขนาดใหญ่ที่มีสาขาทั่วโลกมาจัดกิจกรรมในประเทศไทย เป็นต้น นอกจากนี้ ยังจัดงานกิจกรรมมหกรรมระดับโลกหรือกิจกรรมขนาดใหญ่ ระดับ World Event และ Mega Event ดึงดูดนักท่องเที่ยวด้วย เป็นต้น


นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การเห็นชอบ  18 มาตรการของคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจอุนมัติล่าสุดนี้ จะช่วยให้การท่องเที่ยวไทยบรรลุเป้าหมายปีนี้ ส่วนปี 2536 ตั้งเป้าหมายจะมียอดนักท่องเที่ยวเพิ่มเป็น 41.8 ล้านคน สร้างรายได้เพิ่มเป็น 2.2 ล้านล้านบาท เพราะปัจจุบันไทยมีปัจจัยลบเช่น ภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัยนักท่องเที่ยว ในขณะที่สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติของไทย ที่ WEF จัดลดอันดับลง ปัจจุบันอยู่ลำดับที่ 130 จาก 140 กว่าประเทศ ดังนั้นจุดขายเดิมคือ ธรรมชาติที่สวยงามอาจไม่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวอีกต่อไปได้ ประกอบ การชะลอตัวของเศรษฐกิจของหลายประเทศและค่าเงินที่ผันผวน อีกทั้งการแข่งขันดึงดูดนักท่องเที่ยวที่รุนแรงของประเทศต่าง ๆ เช่น เวียดนามมีอัตราการเติบโตของนักท่องเที่ยวสูงที่สุดในโลก เพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี คศ.2010 ถึง 3 เท่า ปัจจุบันมียอดนักท่องเที่ยวปีละกว่า 15 ล้านคน รวมทั้งยังมีมาเลเซียและอินโดนีเซียเข้ามาแข่งขันกับไทยด้วย

สำหรับมาตรการ ชิม ช้อป ใช้ จะช่วยเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยว ไทยเที่ยวไทย ประมาณร้อยละ 5-10 ด้วยระบบการลงทะเบียนใช้เงินนอกจากหวัดภูมิลำเนา ด้านรายได้จะเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 10-20 ดังนั้น ททท.จึงคาดว่า รายได้ในประเทศน่าจะเพิ่มขึ้นจาก 1.05 ล้านล้านบาท เพิ่มเป็น 1.12 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากมาตรการอื่น ๆ ด้วย เช่น  “เที่ยววันธรรมดา ราคาช็อคโลก”   และ“100 เดียวเที่ยวทั่วไทย” ที่จะออกกลางเดือนหน้า(พ.ย.) ซึ่งในที่ประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจยังสั่งการให้มีการกระตุ้นการจัดสัมมนาในประเทศภายในสิ้นปีด้วย ทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วย สถานการณ์คนไทยเที่ยวในประเทศในช่วง  8 เดือนแรก มียอดรวมรวม 103.5 ล้านคนครั้ง จากปีที่ผ่านมามียอด 160 ล้านคนครั้ง ปีนี้ททท.ต้องการผลักดันให้ได้ 180 ล้านคนครั้ง

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า เพื่อเพิ่มยอดนักท่องเที่ยวในช่วงนอกฤดูการท่องเที่ยวหรือโลซีซั่น ที่ประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจวันนี้(11 ต.ค.) อนุมัติเบื้องต้นให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจัดงานใหญ่ เช่น Moto Gp คอนเสร์ต Tomorrow Land งาน EDC เป็นต้น โดยขณะนี้อยู่ระหว่างหาพื้นที่ที่ต้องการใช้ไม่ต่ำกว่า 500 ไร่ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวคุณภาพสูง เชื่อว่า จะช่วยสร้างรายได้แต่ละครั้งกว่า 10,000 ล้านบาท มีผู้เข้าชมไม่ต่ำกว่าครั้งละ 400,000 คน และนักท่องเที่ยวยังเดินทางท่องเที่ยวต่อในประเทศอีกด้วย นโยบายเปิดสถานบริการจนถึง 4.00 น.ยังอยู่ระหว่างศึกษาสิ้นปีน่าจะเสร็จสินปีนี้ และนำเข้าหารือในที่ประชุมคณะกรรมการัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจต่อไป

สำหรับ 18 มาตรการที่ได้รับการเห็นชอบจากที่ประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจในวันนี้(11 ต.ค.) เช่น มาตรการระยะสั้นภายในปี 2562 มาตรการด้านการเงินการคลังและกฎหมาย ประกอบด้วย การคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยเพิ่มจุดคืนภาษีในพื้นที่เมืองและคืนภาษีในรูปแบบเงินสด ณ จุดขาย การทบทวนข้อกฎหมาย ระเบียบ มาตรการที่เกี่ยวข้องเพื่อส่งเสริมให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวของคนต่างชาติที่อาศัยอยู่ในไทย  และมาตรการหักรายจ่าย 2 เท่าของบริษัทหรือห้าหุ้นส่วนนิติบุคคลสำหรับค่าใช้จ่ายในการจัดอบรมสัมมนาภายในประเทศ 

มาตรการอำนวยความสะดวกและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เช่น การอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวด้านวีซ่า เช่น Double Entries Visa และ Re-entry Permit การขยายระยะเวลาการเปิดด่านชายแดนจาก 8.30-16.30 น. เป็น 24 ชั่วโมงจำนวน 2 ด่าน ได้แก่ ด่านชายแดนไทย-มาเลเซีย และด่านชายแดนไทย-ลาว เป็นระยะเวลา 6 เดือน ขอความร่วมมือกระทรวงการต่างประเทศในการเร่งรัดการใช้ระบบ E-Visa ให้ครอบคลุมกับนักท่องเที่ยวชาวจีนทั่วประเทศ ขอความร่วมมือเร่งประชาสัมพันธ์ระบบ E-VoA ให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติได้รับทราบและเข้าถึงข้อมูล เป็นต้น

มาตรการกระตุ้นตลาดและเพิ่มการใช้จ่าย เช่น โครงการ Amazing Thailand Grand Sale “Passport Privileges” โครงการ ประชุมเมืองไทยภูมิใจช่วยชาติ ส่งเสริมการจัดประชุมภาครัฐนอกสถานที่  

ส่วนมาตรการระยะยาว ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นไป เช่น มาตรการด้านการเงิน การส่งเสริมขึ้นทะเบียนสถานพักแรมและให้สินเชื่อพิเศษสำหรับปรับปรุงสถานประกอบการให้มีมาตรฐาน โดยให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม(บสย.)ค้ำประกัน มาตรการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เช่น ด้านความปลอดภัยและลดจำนวนการสูญเสียชีวิตและการบาดเจ็บของนักท่องเที่ยว การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านวัฒนธรรมโดยเพิ่มจำนวนแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นมรดกโลก 

มาตรการกระตุ้นตลาดและเพิ่มค่าใช้จ่าย โดย การจัดกิจกรรม มหกรรมระดับโลก หรือกิจกรรมขนาดใหญ่ World Event /Mega Event เช่น การจัดงาน วิ่ง Trail/Ultra Trail, Amazing Thailand Marathon Series, Moto GP,Super GT, เป็นต้น การดึงงานประชุมองค์กรจากต่างประเทศมาจัดในประเทศไทย โดยมุ่งเน้นการจัดงานขนาดใหญ่หรืองานที่มีผลกระทบสูง รวมถึงการกระจายพื้นที่จัดงานสู่ภูมิภาค.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

เก๋งซิ่งแหกโค้งชนเสาเหล็ก ไฟลุกไหม้คลอกคนขับดับสลด

ลพบุรี 6 มิ.ย. – เก๋งหรูซิ่งเสียงดังลั่น หมุนโชว์กลางสี่แยก ก่อนแหกโค้งชนเสาเหล็กป้ายข้างทางไฟลุกไหม้เสียหายทั้งคัน คลอกคนขับดับสลด เมื่อเวลา 03.30 น.ที่ผ่านมา ร.ต.ท.ชาตรี ทรัพย์นิยมพงศ์ ร้อยเวรสอบสวน สภ.เมืองลพบุรี รับแจ้งรถเก๋งชนเสาข้างถนน ไฟลุกไหม้ทั้งคัน บนถนนทางเข้าบ้านหนองน้ำทิพย์ หมู่ 7 ต.เขาพระงาม อ.เมืองลพบุรี พร้อมแจ้งรถน้ำดับเพลิงป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเทศบาลตำบลเขาพระงาม รุดไปดับไฟ และเจ้าหน้าที่กู้ภัยมูลนิธิร่วมกตัญญู ร่วมตรวจสอบ จุดเกิดเหตุพบไฟกำลังลุกไหม้โหมทั่วไปทั้งคันรถ สังเกตดูเบื้องต้นคนขับติดอยู่ที่เบาะนั่งสภาพหมดสติ เจ้าหน้าที่เร่งระดมฉีดน้ำใช้เวลาประมาณ 15 นาที เพลิงสงบ จากการตรวจสอบด้านซ้ายรถชนอัดอยู่กับเสาเหล็กป้ายบอกทาง สภาพเหลือแต่ซาก เบื้องต้นพบเป็นรถเก๋งยี่ห้อยี่ห้อบีเอ็มดับเบิลยู ไม่ทราบสี-ทะเบียน ถูกไฟไหม้ เหลืออยู่ครึ่งป้าย ภายในรถพบร่างชายถูกไฟไหม้เกรียม ยังไม่ทราบชื่อว่าเป็นใครมาจากไหน สอบถามนางเล็ก ผู้เห็นเหตุการณ์ เล่าว่า ก่อนเกิดเหตุตนเองนั่งเฝ้าเครื่องสูบน้ำใกล้จุดเกิดเหตุ ได้ยินเสียงรถเก๋งคันดังกล่าวขับซิ่งมาจากแยกเขาพระงาม มุ่งหน้าไปทางโคกสำโรง เสียงท่ออย่างดังลั่น พอมาถึงสามแยกบ้านหนองน้ำทิพย์ ได้หมุนโชว์กลางแยก 1 รอบ จากนั้นขับไปยูเทิร์นกลับมาอีกรอบ เลี้ยวเข้าทางแยกหนองน้ำทิพย์ได้ประมาณ 300 เมตร […]

ตำรวจเร่งตามหาเจ้าของเงิน 12 ล้าน วางทิ้งข้างถังขยะ

นนทบุรี 6 มิ.ย. – ตำรวจเร่งตามหาเจ้าของเงินสด 12 ล้าน ในกล่องพลาสติก วางทิ้งข้างถังขยะคอนโดฯ ย่านเมืองทองธานี จากกรณีพลเมืองดีพบธนบัตรไทยจำนวนมาก ถูกซุกซ่อนอยู่ภายในกล่องพลาสติก บริเวณคอนโดฯ ย่านเมืองทองธานี จ.นนทบุรี เจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบเอกสารเกี่ยวกับหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายและซองจดหมาย ปรากฏชื่อบุคคลและหน่วยงานรัฐในเอกสาร จึงได้ยึดธนบัตรดังกล่าวมาที่ สภ.ปากเกร็ด เพื่อพิสูจน์ว่าเป็นเงินอะไร ได้มาถูกต้องหรือไม่ และใครเป็นเจ้าของที่แท้จริง เบื้องต้นพบเป็นเงินสดจำนวน 12 ล้านบาท และเมื่อเจ้าหน้าที่นำสายรัดของธนบัตรดังกล่าวไปตรวจสอบ พบว่ามีการจ่ายเงินออกมาจำนวนดังกล่าวตั้งแต่ปี 2563    พลเมืองดีเล่าว่า เวลาประมาณ 20.00 น. ของเมื่อวานนี้ (5 มิ.ย.) ตนและเพื่อนเดินไปลิฟต์ที่ชั้น 4 ซึ่งข้างลิฟต์เป็นที่ทิ้งขยะ เห็นกล่องสภาพดีวางอยู่ ก็จะเก็บไปใช้ ซึ่งกล่องถูกเปิดแง้มเอาไว้และมีเสื้อผ้าวางทับด้านบน จึงเปิดดูพบเงินสดฉบับละ 1,000 บาท เป็นมัดๆ จำนวนมาก จึงโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาตรวจสอบ ความคืบหน้าในการติดตามหาตัวคนที่นำกล่องเงินมาทิ้ง ตำรวจสืบสวน สภ.ปากเกร็ด ได้ลงพื้นที่ไล่ตรวจสอบกล้องวงจรปิดบริเวณจุดที่พบเพื่อหาเบาะแสคนที่นำกล่องพลาสติกมาทิ้ง เบื้องต้นยังไม่พบผู้ต้องสงสัย นอกจากนี้ยังได้พยายามติดต่อกับ นายทวีวัฒน์ […]

น้ำมันรั่วลงทะเล

สั่งเจ้าท่าระงับเหตุน้ำมันดิบรั่วไหลจากเรือ Phoenix Jamnagar

ชลบุรี 6 มิ.ย.- “มนพร” สั่งการกรมเจ้าท่าตั้งศูนย์ประสานงานแก้ไขปัญหาและควบคุมสถานการณ์น้ำมันดิบรั่วไหลจากเรือ Phoenix Jamnagar บริเวณท่าเรือบริษัทไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ศรีราชา จังหวัดชลบุรี นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม สั่งการให้ นายกริชเพชร ชัยช่วย อธิบดีกรมเจ้าท่า ดำเนินการจัดตั้งศูนย์ประสานงานป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมัน เพื่อ ระงับเหตุน้ำมันดิบรั่วไหลจากเรือ Phoenix Jamnagar ซึ่งเป็นเรือบรรทุกน้ำมันดิบสัญชาติสิงคโปร์ หมายเลข IMO 9828962 โดยเหตุเกิดบริเวณทุ่นรับน้ำมันกลางทะเล (SBM2) ของบริษัทไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ในเขตพื้นที่ศรีราชา จังหวัดชลบุรี เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อเวลา 00.54 น. โดยมีสาเหตุมาจากท่อส่งน้ำมันที่ชำรุด ส่งผลให้น้ำมันดิบรั่วไหลลงสู่ทะเลในปริมาณประมาณ 20 คิว หรือราว 20 ตัน กรมเจ้าท่าได้ดำเนินการประเมินสถานการณ์โดยเร่งดำเนินการจัดตั้งศูนย์ประสานงานฯ ณ โรงกลั่นน้ำมันของบริษัทไทยออยล์ จังหวัดชลบุรี เพื่อเป็นศูนย์กลางในการควบคุมเหตุการณ์ ทั้งนี้กรมเจ้าท่าในฐานะเลขานุการศูนย์ประสานงาน ได้ประสานกองทัพเรือจัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ในการขจัดคราบน้ำมัน จากการสำรวจพื้นที่ พบว่าลักษณะของคราบน้ำมันเป็นคราบสีดำหรือน้ำตาลบาง ๆ […]

นักศึกษาเจอคอลเซ็นเตอร์ปั่นหัวถือมีดบุกโรงพัก

เชียงใหม่ 5 มิ.ย. – แก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกนักศึกษาเชียงใหม่ สูญกว่า 2 ล้านบาท พ่อแม่เครียดหมดเนื้อหมดตัว บางรายถูกปั่นหัวให้ถือมีดบุกโรงพักเย้ยตำรวจ พบเฉพาะ สภ.ภูพิงค์ฯ มีเหยื่อโดนหลอกลักษณะนี้แล้วกว่า 300 ราย กล้องวงจรปิดบันทึกภาพนักศึกษาสาว ชั้นปีที่ 4 ขี่รถจักรยานยนต์มาจอดภายใน สภ.ภูพิงค์ราชนิเวศน์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ จากนั้นเดินไปเข็นวีลแชร์ที่อยู่ตรงหัวมุมอาคาร แล้วก็เข็นไปเข็นมาอยู่อย่างนั้น ก่อนจะถือมีดไปที่บริเวณห้องรับแจ้งความ และอ้างว่า จะมาขอพบตำรวจนายหนึ่ง แต่ไม่มีชื่อนี้อยู่ที่โรงพัก จึงขอพบ พันตำรวจเอก มนัสชัย อินทร์เถื่อน ผู้กำกับ สภ.ภูพิงค์ราชนิเวศน์ เพราะไปฆ่าคนตายมา ขณะนั้น ตำรวจสืบสวนสังเกตเห็นว่า นักศึกษาสาวมีท่าทางหวาดระแวงใส่หูฟังเหมือนกับทำตามคำสั่งใครสักคนที่สั่งการจากปลายสาย ด้านตำรวจจึงชวนพูดคุยสอบถามสักพัก จนยอมวางมีดลง จากนั้น ตำรวจจึงขอให้ดึงหูฟังออก ปรากฏว่า นักศึกษาสาวกลับได้สติขึ้นมาว่า ชายที่สั่งการทางโทรศัพท์ไม่ใช่ตำรวจจริง เป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สั่งให้มาป่วนตำรวจ เนื่องจากไม่มีเงินโอนให้ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 มิ.ย. ที่ผ่านมา ตำรวจจึงตรวจสอบพบว่า ในวันเดียวกัน […]

ข่าวแนะนำ

ลอบวางระเบิด 2 จุด กลางตลาดโต้รุ่งเมืองปัตตานี

ปัตตานี 8 มิ.ย. – คนร้ายลอบวางระเบิดกลางตลาดโต้รุ่ง เขตเทศบาลเมืองปัตตานี รถจักรยานยนต์เสียหาย 2 คัน เบื้องต้นไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต วันที่ 8 มิ.ย.68 เวลา 20.00 น. เกิดเหตุคนร้ายไม่ทราบกลุ่มจำนวน ลอบวางระเบิดแสวงเครื่อง จำนวน 2 ลูก โดยจุดแรก วางระเบิดในถังขยะ หน้าร้านทอง บริเวณตลาดโต้รุ่ง เขตเทศบาลเมืองปัตตานี เบื้องต้นไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต รถจักรยานยนต์ได้รับความเสียหาย จำนวน 2 คัน และจุดที่ 2 วางระเบิดในถังขยะ บริเวณในซอยข้างโรงแรม หลังตลาดโต้รุ่ง เขตเทศบาลเมืองปัตตานี เบื้องต้นไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต การก่อเหตุครั้งนี้ คาดว่าเป็นการก่อเหตุเพื่อสร้างสถานการณ์ให้เกิดขึ้นในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ตามข้อมูลข่าวสารที่หน่วย ส.จว.ปัตตานี ได้ออกข่าวแจ้งเตือนไปแล้ว เมื่อวันที่ 26 พ.ค.68 เวลา 15.00 น. ปรากฏข่าวสารว่า นายมะกอเซ็ง หม้าแอ สมาชิก ผกร.ระดับปฏิบัติการ และสมาชิกจำนวน […]

นายกฯ เผยหารือกัมพูชา ตกลงปรับกำลังทหารทั้ง 2 ฝ่าย ลดเผชิญหน้า

ทำเนียบรัฐบาล 8 มิ.ย. – นายกฯ เผยหารือกับรัฐบาลกัมพูชา ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงจะร่วมกันปรับกำลังทหาร จุดที่มีการกระทบกระทั่ง เพื่อลดการเผชิญหน้า เดินหน้าใช้กลไก JBC 14 มิ.ย.นี้ นำพาความสัมพันธ์เข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดีย ระบุว่า ความพยายามคลี่คลายสถานการณ์ความขัดแย้งตามแนวชายแดน โดยการปฏิบัติงานของทั้งระดับนโยบาย โดยรัฐบาล ฝ่ายความมั่นคง กองทัพ กระทรวงการต่างประเทศ และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีพัฒนาการในทางที่ดีขึ้นเป็นลำดับค่ะ ดิฉันได้หารือกับรัฐบาลกัมพูชา มีข้อสรุปที่ส่งผลดีต่อสถานการณ์ โดยทั้ง 2 ฝ่ายตกลงจะร่วมกันปรับกำลังทหาร ณ จุดที่มีการกระทบกระทั่ง เพื่อลดบรรยากาศการเผชิญหน้า และจะพัฒนาความร่วมมือโดยใช้กลไก JBC ในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ และจะมีการพูดคุยกันในทุกระดับ เพื่อนำพาความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็วค่ะ ขอให้พี่น้องประชาชนติดตามสถานการณ์และข้อเท็จจริงจากรัฐบาล พร้อมทั้งเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานจนประสบผลสำเร็จต่อไป สุดท้ายนี้ ขอให้พี่น้องประชาชนได้โปรดคลายความกังวล และมีความมั่นใจในการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลว่า จะไม่มีเหตุกระทบกระทั่งที่รุนแรงเกิดขึ้นแน่นอนค่ะ.-316-สำนักข่าวไทย

โฆษก ทบ. ยันทหารกัมพูชายอมถอนกำลัง-กลบคูเลต ลดตึงเครียด

8 มิ.ย. – โฆษก ทบ. ยืนยันทหารกัมพูชายอมถอนกำลังกลับไปอยู่จุดเดิม พร้อมกลบคูเลตให้คืนสู่สภาพเดิม หลังบรรลุข้อตกลงการหารือ เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ในพื้นที่พิพาทบริเวณช่องบก ลดความตึงเครียด วันนี้ (8 มิ.ย.68)​ พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า ฝ่ายกัมพูชา นำโดย พล.ท.สรัย ดึก รองผู้บัญชาการทหารบก และผู้บัญชาการกองพลสนับสนุนที่ 3 ได้เชิญฝ่ายทหารไทย โดย พล.ต.สมภพ ภาระเวช ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี เข้าร่วมหารือ เพื่อเจรจาเกี่ยวกับกรณีปัญหาการรุกล้ำดินแดนในพื้นที่พิพาทบริเวณช่องบก จากการหารือเบื้องต้น ทั้งสองฝ่ายได้บรรลุข้อตกลงในประเด็นสำคัญ คือ ฝ่ายทหารกัมพูชายินยอมถอนกำลังกลับไปยังจุดที่เคยประจำการอยู่เดิม ซึ่งอยู่ห่างจากบริเวณที่เกิดเหตุปะทะ หรือแนวต้นพญาสัตบรรณ ลึกเข้าไปในเขตแดนของประเทศกัมพูชา จุดดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่ฝ่ายกัมพูชาเคยใช้เป็นแนววางกำลังฐานมาโดยตลอดในอดีต นอกจากนี้ ฝ่ายกัมพูชายังแสดงความยินยอมที่จะดำเนินการกลบคูเลตให้กลับคืนสู่สภาพธรรมชาติตามเดิม ตามข้อเสนอของฝ่ายไทย เพื่อเป็นการลดความตึงเครียด และสร้างบรรยากาศแห่งความร่วมมือ ภายหลังจากนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องร่วมกันที่จะใช้กลไกระดับคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น เป็นช่องทางในการหารือแนวทางบริหารจัดการพื้นที่อย่างเหมาะสมและยั่งยืนต่อไป.-313-สำนักข่าวไทย

มทภ.2 สั่งกองกำลังสุรนารี ปรับเวลาเปิด-ปิด จุดผ่านแดนกัมพูชา 

8 มิ.ย.- เกาะติดสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา แม่ทัพภาค 2 ลงนามคำสั่งให้อำนาจผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี พิจารณาปรับเวลาเปิด-ปิด ด่านถาวรและจุดผ่อนปรนการค้า 4 ด่าน มีผลทันทีเมื่อคืนนี้ กองทัพภาคที่ 2 ออกหนังสือคำสั่ง การควบคุมการเปิด-ปิดจุดผ่านแดนทุกประเภทตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ในพื้นที่รับผิดชอบของกองกำลังสุรนารี ตามคำสั่งกองทัพบก เพื่อความปลอดภัยของประชาชน ให้กองทัพภาคที่ 2 โดยกองกำลังกำลังสุรนารีมีอำนาจการควบคุมการเปิด-ปิดจุดผ่านแดนทุกประเภทตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาในพื้นที่รับผิดชอบของกองกำลังสุรนารี วิธีการและเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลา ที่จำเป็นเหมาะสม ในพื้นที่รับผิดชอบของกองกำลังสุรนารี ดังนี้