กรุงเทพฯ 7 ต.ค. – นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน แจงขั้นตอนพิจารณาวางเงินประกันรื้อถอนแท่นปิโตรเลียม “บงกช-เอราวัณ” ระบุพิจารณาแผนใหม่ 6 เดือน กลางเดือน มี.ค.63 รู้ผลหลังจากต้องวางเงินค้ำประกันใน 4 เดือน
นายกุลิศ ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการปิโตรเลียม กล่าวว่า ขั้นตอนดังกล่าวเป็นไปตามกฎกระทรวง เรื่องกำหนดแผนงาน ประมาณการค่าใช้จ่าย และหลักประกันในการรื้อถอนสิ่งติดตั้งที่ใช้ในกิจการปิโตรเลียม พ.ศ.2559 ตาม พ.ร.บ.ปิโตรเลียม โดยเมื่อนางเปรมฤทัย วินัยแพทย์ อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ได้ทำหนังสือถึงผู้ได้รับสัมปทานแหล่ง “เอราวัณ-บงกช” ให้วางหลักประกันการรื้อถอนเต็มจำนวนไปแล้ว แต่ทางผู้ได้รับสัมปทานไม่เห็นด้วย ก็สามารถทำข้อมูลแย้งมาได้ ทางกรมเชื้อเพลิงฯ จะใช้เวลาพิจารณา 180 วัน ซึ่งทาง “เชฟรอน, กลุ่มโมเอโกะ, โททาล” ได้ทำหนังสือถึงกระทรวง เมื่อกลางเดือนกันยายน 2562 จะครบเวลาพิจารณาข้อมูลทั้งหมดกลางเดือนมีนาคม 2563
หลังจากนั้นอธิบดีกรมเชื้อเพลิงฯ จะทำหนังสืออีกครั้งถึงผู้ได้รับสัมปทานให้มาวางหลักประกันการรื้อถอนภายใน 120 วัน ซึ่งขั้นตอนนั้นหากตกลงกันไม่ได้ หากมีการฟ้องร้องก็อาจจะเข้าสู่กระบวนการอนุญาโตตุลาการ ซึ่งเชื่อมั่นว่าในการพิจารณาข้อมูลรอบใหม่จะสามารถตกลงเป็นที่ยอมรับซึ่งกันและกันได้ โดยภาครัฐพร้อมรับฟังข้อมูลบนพื้นฐานหลักการของกฎหมายที่ผู้ได้รับสัมปทานจะต้องรื้อถอนแท่นปิโตรเลียมบนหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม หลังหมดสัญญากับภาครัฐ ส่วนวงเงินค้ำประกันจะมากหรือน้อยหรือเท่าเดิม ที่กว่าแสนล้านบาทหรือไม่ ก็ต้องมาคุยกันในรายละเอียด โดยทุกฝ่ายเห็นร่วมกันว่าการดำเนินการจะไม่กระทบต่อการส่งมอบพื้นที่ให้รายใหม่ที่จะเข้ามาดำเนินกิจการ หลังหมดอายุสัมปทานปี 2565-2566
ผู้สื่อิข่าวรายงานว่า เดิมอธิบดีกรมเชื้อเพลิงทำหนังสือถึงผู้ได้รับสัมปทาน “เอราวัณ-บงกช” เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2562 ให้วางหลักประกันรื้อถอนแท่นเต็มจำนวนภายใน 120 วัน หรือครบกำหนด 11 ตุลาคม 2562 ประกอบด้วย แหล่งเอราวัณ 200 แท่น วงเงินประมาณ 2,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แหล่งบงกช 100 แท่น วงเงินประมาณ 1,000 ล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม ผู้ได้รับสัมปทานไม่เห็นด้วย โดยเห็นว่าควรวางหลักประกันเฉพาะแท่นที่รื้อถอนจริง ๆ เท่านั้น ส่วนแท่นไหนที่ผู้ชนะประมูล คือ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม และพันธมิตรใช้งานได้ต่อ ก็ไม่ควรวางหลักประกันเต็มจำนวน โดยเมื่อได้ข้อมูลใหม่กรมเชื้อเพลิง ฯจะต้องเร่งสรุปว่าแท่นใดจะใช้งานได้ต่อภายสิ้นปีนี้หรือต้นปีหน้า เพื่อจะได้กำหนดเรื่องการวางหลักประกันรื้อถอนต่อไป.-สำนักข่าวไทย