สธ.21ก.ย.-กรมสุขภาพจิต แนะวิธีป้องกัน 5 ข้อ ช่วยชะลอสภาวะสมองเสื่อมสำหรับผู้สูงวัย ‘ด้านการรู้คิด-ด้านความจำ-ด้านทักษะ-ด้านอารมณ์จิตใจ-ด้านพฤติกรรม’ เพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถดำรงชีวิต พึ่งพาตนเองในการทำกิจวัตรประจำวันต่างๆ ได้และมีสุขภาพจิตมีคุณภาพชีวิตที่ดี
นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่าปัจจุบันประเทศไทยเข้าสู่สังคมของผู้สูงวัย ซึ่งผู้สูงอายุมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ปัญหาหลักสำคัญในผู้สูงอายุ คือปัญหาด้านสุขภาพ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลง และเสื่อมถอยของระบบต่างๆ ของร่างกายที่เกิดขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น การทำความเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงและเสื่อมถอยนี้ เป็นพื้นฐานสำคัญในการดูแลส่งเสริมสุขภาพ รวมทั้งป้องกันปัญหาสุขภาพที่จะเกิดขึ้นในผู้สูงอายุ โดยปัญหาด้านโรคที่เกิดจากความเสื่อม ทั้งทางระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ เช่น ภาวะข้อเสื่อม โรคทางระบบประสาท เช่นภาวะสมองเสื่อม และโรคพาร์กินสัน นับเป็นปัญหาที่มีความสำคัญในการตรวจประเมิน ดูแล รักษา ส่งเสริมป้องกัน เพื่อให้ผู้สูงอายุที่มีปัญหาเหล่านี้ สามารถดำรงชีวิตได้โดยการพึ่งพาตนเองมากที่สุด และมีสุขภาพจิตมีคุณภาพชีวิตที่ดี
อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวต่อว่า สำหรับวันอัลไซเมอร์โลก ซึ่งตรงกับวันที่ 21 กันยายนของทุกปีนั้น โรคอัลไซเมอร์ถือเป็นสาเหตุอันดับต้นของภาวะสมองเสื่อม ซึ่งภาวะสมองเสื่อมเป็นความผิดปกติที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ อาการแสดงที่สำคัญที่พบได้ในผู้ที่มีภาวะสมองเสื่อม ได้แก่ การบกพร่องด้านความจำ เช่น ลืมวันนัดหมาย ทำของหายหาไม่เจอ หลงทางในสถานที่คุ้นเคย การบกพร่องด้านความสามารถในการคิดวางแผน เช่น ความสามารถในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ การใช้อุปกรณ์เครื่องมือใหม่ๆ ลดลง การบกพร่องด้านการสื่อสาร เช่น ความคล่องแคล่วในการพูดหรือการสื่อสารลดลง มีปัญหาในการคิดคำศัพท์ วลี หรือประโยคที่เหมาะสม การบกพร่องด้านพฤติกรรม เช่น มีความหุนหันพลันแล่น ตัดสินใจเร็ว ขาดความยั้งคิด ความสามารถในการทำกิจกรรมลดลง อาจพบอาการเดินออกจากบ้านไปเรื่อยๆ ซึ่งนำไปสู่การหลงทาง เป็นต้น
กรมสุขภาพจิต จึงขอแนะนำผู้สูงวัยที่มีความเสี่ยง หรือเริ่มมีอาการภาวะสมองเสื่อมระยะเริ่มแรก เพื่อช่วยชะลอความรุนแรง ในการเกิดภาวะสมองเสื่อมให้เกิดช้าลง สามารถพึ่งพาตนเองและดำรงชีวิตในการทำกิจวัตรประจำวันต่างๆ ได้ ด้วยวิธีป้องกัน 5 ข้อ ดังนี้
1. ด้านการรู้คิด เป็นการกระตุ้นให้ใช้ความคิดเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ รอบตัว โดยฝึกการรับรู้ เวลา สถานที่ บุคคล โดยใช้สถานการณ์หรือเหตุการณ์ประจำวันช่วยในการกระตุ้น เช่น การอ่านหนังสือ ดูโทรทัศน์ และมีอุปกรณ์ช่วยบอกวันเวลา เช่น นาฬิกา ปฏิทิน เป็นต้น
2. ด้านความจำ จะเป็นการช่วยเพิ่มความจำให้กลับมาได้ในระดับเดิมมากที่สุด เช่น ฝึกจำหน้าคน การบอกชื่อคน ฝึกความจำด้วยการใช้สุภาษิต คำพังเพย ฝึกนับตัวเลข การเล่นเกมส์ เป็นต้น
3. ด้านทักษะ เพื่อรักษาระดับความรู้ความสามารถให้คงเดิมและเพื่อเรียนรู้ทักษะใหม่เพิ่มขึ้น โดยการเรียนรู้และฝึกทักษะด้วยวิธีการที่ง่ายๆ เช่น การวาดภาพ การปั้นดินน้ำมัน การเต้นรำ รำวง เป็นต้น
4. ด้านอารมณ์จิตใจ เป็นการกระตุ้นความจำและอารมณ์ โดยใช้ประสบการณ์ชีวิตในอดีตและใช้อุปกรณ์ช่วย เช่น รูปภาพ ดนตรี เสียงเพลง รวมทั้งการออกกำลังกาย จะช่วยทำให้อารมณ์ดีขึ้นและช่วยให้นอนหลับดีขึ้น
และ 5. ด้านพฤติกรรม เป็นการค้นหาสาเหตุของพฤติกรรมหรือตัวกระตุ้นเพื่อลดปัญหาเหล่านั้น เช่น การให้แรงจูงใจ การให้รางวัล การชื่นชม เป็นต้น การรักษาแบบนี้จะทำให้พฤติกรรมที่หายไปกลับคืนมา และลดพฤติกรรมที่เป็นปัญหา เช่น ก้าวร้าว ตะโกนเสียงดัง เป็นต้น
ทั้งนี้ หากพบผู้สูงอายุที่มีอาการแสดงต่อการเกิดโรคสมองเสื่อมมาก ควรส่งปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำการตรวจวินิจฉัยและรักษาต่อไป .-สำนักข่าวไทย