รัฐสภา 18 ก.ย.- “ไพบูลย์” ป้อง นายกฯ มองการอภิปรายของฝ่ายค้านไม่ใช่การตั้งคำถาม แต่เป็นการตรวจสอบการทำหน้าที่รัฐมนตรี ด้าน ส.ส.ฝ่ายค้าน ประสานเสียงเรียกร้องนายกฯแสดงความรับผิดชอบทางการเมือง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ กรณีการถวายสัตย์ฯ ไม่ครบตามรัฐธรรมนูญ นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ได้อภิปรายถึงการอภิปรายทั่วไปของฝ่ายค้าน ว่า เท่าที่ฟังมาไม่ใช่การตั้งคำถาม แต่เป็นการอภิปรายลักษณะตรวจสอบการทำหน้าที่ของรัฐมนตรี และคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญ แม้จะไม่ใช่คำวินิจฉัยที่มีผลผูกพันโดยตรง แต่ก็มีสาระสำคัญที่ต้องรับฟัง โดยระบุว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับเขตพระราชอำนาจโดยเฉพาะ ไม่สามารถมีฝ่ายใดก้าวล่วงได้ เนื่องจากเป็นไปตามพระบรมราชวินิจฉัยแล้ว ที่ให้นายกรัฐมนตรีเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณตน และพระราชทานพระราชดำรัส ซึ่งเป็นการไว้วางพระทัยแล้ว ดังนั้นญัตติการอภิปรายที่เกิดขึ้นนี้จึงถือเป็นการก้าวล่วงพระราชอำนาจ
นายไพบูลย์ ยังยกคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญที่วินิจฉัยไว้ว่า ไม่มีองค์กรใดตามรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกรณีนี้ได้ จึงแสดงความเป็นห่วงฝ่ายค้านที่กำลังอภิปรายตรวจสอบ เข้าข่ายกระทำการโดยไม่มีอำนาจและอาจเป็นเหตุให้ถูกยื่นเอาผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และถอดถอนจากตำแหน่งได้ แม้ว่าฝ่ายค้านจะพยายามยื่นเรื่องตรวจสอบไปที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. และเรื่องไปถึงศาลฎีกา แต่สุดท้ายเรื่องก็อาจจะกลับไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ โดยเชื่อว่าศาลรัฐธรรมนูญจะไม่เปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัยของตัวเอง ที่ระบุว่าไม่มีองค์กรใดตามรัฐธรรมนูญมีอำนาจวินิจฉัยเรื่องนี้ได้ ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรก็เป็นหนึ่งในองค์กรตามรัฐธรรมนูญ
นายไพบูลย์ กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นเลิศเรื่องความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ แม้พรรคฝ่ายค้านเป็นส่วนสำคัญในการตรวจสอบการทำงาน แต่ที่ต้องท้วงติงเพราะอยากเห็นการอภิปรายวันนี้เป็นไปในแนวทางที่ควรจะเป็น ไม่มีการกระทำอะไรที่อาจจะสุ่มเสี่ยง
ด้าน นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย อภิปรายข้อเสนอแนะต่อนายกรัฐมนตรี ให้กลับไปดำเนินการแก้ปัญหาของการถวายสัตย์ปฏิญาณตนและการกำหนดแหล่งที่มารายได้ของนโยบายให้ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งทำได้ด้วยการปรับคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ เพื่อนำคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณตนอีกครั้งให้ถูกต้อง เพื่อกลับเข้าสู่ภาวะปกติ หรือลาออกเพื่อให้มีการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ แล้วเข้าสู่กระบวนการถวายสัตย์ใหม่ ซึ่งขึ้นอยู่กับนายกรัฐมนตรีจะเลือกสิ่งที่ถูกที่สุดสำหรับประชาชน หากยังปล่อยให้เป็นไปในลักษณะนี้ นายกรัฐมนตรีจะไม่ได้รับการยอมรับนับถือ
ขณะที่นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อไทย อภิปรายยกความเห็นผู้พิพากษาอาวุโสในศาลอุทธรณ์ ว่า อย่าเอาพระราชดำรัสตีความเป็นพระบรมราชวินิจฉัยเกี่ยวกับกระบวนการถวายสัตย์ปฏิญาณตน และเรียกร้องไปถึงนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาล ซึ่งกระทำการขัดรัฐธรรมนูญเสียเอง ควรลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพื่อรักษามาตรฐานจริยธรรมของผู้นำประเทศ
ด้านนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส. พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ข้อมูลที่นายกรัฐมนตรีชี้แจงเรื่องที่มาของงบประมาณในการดำเนินนโยบายของรัฐบาล หลายข้อมูลที่อ้างมาไม่เป็นความจริง เช่น การกู้เงินเนื่องจากใช้งบประมาณสมดุล ขณะที่นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เงินทุนสำรองระหว่างประเทศมีจำนวนมากเป็นเรื่องที่ดี ทั้งที่ในความเป็นจริงทำให้ค่าเงินบาทแข็งตัว แต่ไม่ใช่ยาวิเศษ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วรายได้ของรัฐบาลในการดำเนินนโยบายไม่ใช่มาจากเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ แต่มาจากรายได้จากการลงทุน ตั้งแต่ปี 2557-2558 รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ใช้เงินไป 2.5 ล้านล้านบาท แต่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่นโยบายเศรษฐกิจของประเทศไม่ชัดเจน เอาแต่แจกเงิน ทำให้ต่างประเทศไม่มาลงทุนในประเทศ แล้วก็จะมาอ้างว่าคนที่วิจารณ์ไม่รักชาติ ทุกคนรักชาติเหมือนกัน แต่ต้องดูที่วิธีการ เพราะงบประมาณที่ต้องใช้จ่ายในการดำเนินนโยบายมาจากภาษีประชาชน และยังกู้เงินมาแล้ว ตั้งแต่บริหารประเทศ เป็นจำนวน 2.19 ล้านล้านบาท แต่นายกรัฐมนตรีไม่ยอมแจงว่าแสดงงบประมาณไว้ที่ไหน ขณะที่หนี้ครัวเรือนสูงขึ้น กำลังซื้อในประเทศหดหาย ต่อให้แจกเงินเท่าไไหร่คนก็ไม่กล้าใช้จ่ายเงินและไม่กล้าลงทุน รวยกระจุก จนกระจาย ตระกูลที่ค้าขายกับ พล.อ.ประยุทธ์ ในสมัย คสช. รวยขึ้นแต่ธุรกิจขนาดกลาง ขนาดเล็ก ตายลง นอกจากนี้ สาเหตุรัฐธรรมนูญ มาตรา 162 ต้องกำหนดให้คณะรัฐมนตรีชี้แจงเพราะท่านทั้งหลายใช้เงินของประชาชน และประชาชนมีหน้าที่ถามผ่านผู้แทนราษฎรที่นั่งอยู่ในรัฐสภา
นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ กล่าวว่า การถวายสัตย์ไม่ครบตามมาตรา 162 ในรัฐธรรมนูญ เหมือนกับ ส.ส.ขาดคุณสมบัติจะเป็น ส.ส. ไม่ได้ เช่นเดียวกับการบวชพระ ถ้ากล่าวคำขานในการขอบวชพระไม่ครบ ก็เป็นพระไม่ได้ เพราะฉะนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จะเป็นนายกรัฐมนตรีได้ไหมให้ไปคิดเอาเอง ถ้าท่านเป็นแค่ทหารที่เกษียณ หรือลุงแก่ ๆ อยู่ที่บ้านก็จะไม่ถามท่าน
นายมงคลกิตติ์ กล่าวว่า แต่วันนี้ท่านเป็นนายกรัฐมนตรี ผมต้องถามในฐานะผู้แทนราษฎร ว่าทำไมถวายสัตย์ไม่ครบ หรือมีการวางยาท่านหรือไม่ หรือมีเพียงหนึ่งคนที่จะวางยาท่านได้ คือ เป็นนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี หรือเลขาธิการนายกรัฐมนตรี วางยาท่าน เขียนข้อความไม่ครบ หรือเป็นเพราะนายกรัฐมนตรีอายุเยอะแล้ว อาจจะเลอะเลือน จึงอ่านไม่ครบ หากรู้ว่าถ้าเป็นนายกรัฐมนตรีแล้วจะถวายสัตย์ไม่ครบ ตนจะไม่ยกมือสนับสนุนท่านเด็ดขาด และแม้ตนจะเป็นคนไทยเชื้อสายจีน ก็รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ไม่ต่างจากนายกรัฐมนตรี
นายมงคลกิตติ์ กล่าวว่า ส่วนการแถลงนโยบายรัฐบาลโดยไม่ระบุที่มาของ งบประมาณ การจัดซื้อเครื่องบินของสายการบินไทย 38 ลำที่จะเข้า ครม. สัปดาห์หน้า กว่าหนึ่ง 1.56 ล้านบาท แต่ทำไมไม่ชี้แจงในการแถลงนโยบาย ทุกวันนี้ประเทศมีหนี้สาธารณะจำนวนมาก หากไม่ทำวงเงินงบประมาณขาดดุลก็จะไม่มีเงินมาจัดซื้อจัดจ้าง และกังวลว่า ถ้าในอนาคตขาดทุนขึ้นก็คงเหมือนนโยบายจำนำข้าว หากนำทรัพย์สินของ ครม. มารวมกันทั้งหมดก็คงไม่เพียงพอกับวงเงินที่จะอนุมัติในครั้งนี้ และสิ่งสุดท้ายคือฝากให้นายกรัฐมนตรีตรวจสอบการแต่งตั้งโยกย้ายปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม .-สำนักข่าวไทย