กรุงเทพฯ 2 ก.ย. – สทนช.จับตา 16 จังหวัด เหนือ-อีสานเสี่ยงน้ำล้นตลิ่ง หวั่นพายุลูกใหม่กระทบซ้ำ และระดับน้ำโขงเพิ่มสูงขึ้น
นายสำเริง แสงภู่วงค์ รองเลขาธิการ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการน้ำเฉพาะกิจ เปิดเผยภายหลังการประชุมศูนย์อำนวยการน้ำเฉพาะกิจ ว่า จากการติดตามสถานการณ์พายุระดับ 2 (ดีเปรสชั่น) บริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน กรมอุตุนิยมวิทยารายงานว่าเมื่อเวลา 13.00 น.ของวันที่ 2 กันยายน 2562 อยู่ห่างกรุงฮานอย นครหลวงของเวียดนาม 400 กม. ความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 55 กม./ชม. กำลังเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกด้วยความเร็วประมาณ 20 กม./ชม. คาดว่าจะทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุระดับ 3 (พายุโซนร้อน) ส่งผลให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก มีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง โดยเฉพาะพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากโพดุล
ดังนั้น จากสถานการณ์ดังกล่าว ศูนย์อำนวยการน้ำเฉพาะกิจได้ประสานหน่วยงานที่รับผิดชอบแหล่งน้ำในพื้นที่เสี่ยง ทั้งที่ประสบปัญหาจากพายุโพดุล และที่มีความเสี่ยงจะได้รับผลกระทบจากพายุลูกใหม่ ปรับลดการระบายน้ำจากอ่างเก็บน้ำทุกแห่ง โดยมีการวิเคราะห์เส้นทางน้ำที่ปัจจุบันยังประสบปัญหาน้ำท่วมและมีความเสี่ยงที่น้ำล้นตลิ่งในช่วงวันที่ 3- 6 กันยายนนี้ ใน 16 จังหวัดบริเวณภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ แม่น้ำยม จ.แพร่ ลำน้ำปาด จ.อุตรดิตถ์ แม่น้ำน่าน จ.พิษณุโลก ลำน้ำเข็ก จ.พิษณุโลก แม่น้ำป่าสัก จ.เพชรบูรณ์ ลำน้ำห้วยหลวง จ.อุดรธานี แม่น้ำสงคราม จ.สกลนคร ลำน้ำยัง จ.กาฬสินธุ์ จ.ร้อยเอ็ด จ.ยโสธร ลำเซบาย จ.ยโสธร จ.อุบลราชธานี แม่น้ำโขง ตั้งแต่ จ.นครพนม มุกดาหาร ถึงอำเภอโขงเจียม อุบลราชธานี มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต้องเฝ้าระวังระดับน้ำบริเวณอำเภอโขงเจียม จ.อุบลราชธานี มีระดับน้ำเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง
สำหรับปริมาณน้ำที่ไหลเข้าแหล่งน้ำขนาดใหญ่ทั่วประเทศจากอิทธิพลของพายุโพดุลระหว่างวันที่ 29 สิงหาคมถึงปัจจุบันพบว่า มีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น 38 แห่ง รวม 2,500 ล้าน ลบ.ม. แยกตามรายภาค ได้แก่ ภาคเหนือ 849 ล้าน ลบ.ม. ภาคกลาง 57 ล้าน ลบ.ม. ภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ 706 ล้าน ลบ.ม. ภาคตะวันออก 52 ล้าน ลบ.ม. ภาคตะวันตก 695 ล้าน ลบ.ม. และภาคใต้ 140 ล้าน ลบ.ม. โดยมีแหล่งน้ำที่มีน้ำเพิ่มขึ้นจนพ้นวิกฤติมีน้ำอยู่ในเกณฑ์ 30-60% จำนวน 1 แห่ง คือ เขื่อนแม่มอก และมี 2 แห่ง ที่ต้องเฝ้าระวังน้ำมาก ได้แก่ เขื่อนศรีนครินทร์ และเขื่อนหนองหาร รวมทั้งคาดการณ์ว่าจะมีน้ำไหลเข้าเพิ่มขึ้นในช่วงระยะ 1-3 วันข้างหน้าอีกประมาณ 2,000 ล้าน ลบ.ม. ขณะที่อ่างเก็บน้ำขนาดกลางมีปริมาณน้ำไหลลงอ่างฯ 744 ล้าน ลบ.ม. ส่งผลให้แหล่งน้ำขนาดกลาง ที่มีปริมาณน้ำน้อยกว่า 30% จำนวน 141 แห่ง พ้นวิกฤติ มีน้ำเพิ่มขึ้นจนอยู่ในเกณฑ์ 30-60% จำนวน 29 แห่ง ซึ่งปริมาณน้ำที่ไหลเข้าแหล่งน้ำมากขึ้นนี้จะใช้เป็นน้ำต้นทุนสำหรับสำรองเพื่อการอุปโภค-บริโภค และเป็นต้นทุนในฤดูแล้งหน้าต่อไป
อย่างไรก็ตาม ยังมีแหล่งน้ำอีก 13 แห่งที่ยังมีน้ำไหลเข้าน้อยและอยู่ในเกณฑ์เฝ้าระวัง ได้แก่ เขื่อนแม่กวงอุดมธารา เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน เขื่อนจุฬาภรณ์ เขื่อนอุบลรัตน์ เขื่อนลำนางรอง เขื่อนมูลบน เขื่อนลำพระเพลิง เขื่อนลำแซะ คลองสียัด เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เขื่อนกระเสียว บึงบอระเพ็ด และเขื่อนทับเสลา
นายสำเริง กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า สำหรับสถานการณ์น้ำใน 4 เขื่อนขนาดใหญ่ลุ่มเจ้าพระยา ซึ่งพบว่ามีปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเพิ่มขึ้น ศูนย์ฯ ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่รับผิดชอบการบริหารจัดการน้ำในแหล่งน้ำต่าง ๆ ทางภาคเหนือปรับลดการระบายน้ำลง เพื่อควบคุมการระบายน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยาให้อยู่ในเกณฑ์ไม่เกิน 500 ล้าน ลบ.ม./วินาที เพื่อป้องกันผลกระทบกับพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณ จ.อ่างทอง จ.พระนครศรีอยุธยาได้ ซึ่งล่าสุดกรมชลประทานได้ปรับเพิ่มการระบายน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท ที่ 397 ลบ.ม./วินาที.-สำนักข่าวไทย