คปภ.เร่งประกันจ่ายสินไหมรถตู้ชนรถพ่วง 18 ล้อ ที่สระแก้ว

กรุงเทพฯ 19 ส.ค. –  คปภ.เร่งประกันจ่ายค่าสินไหมทดแทนกรณีรถตู้ชนรถพ่วง 18 ล้อ แรงงานชาวลาว-คนไทย เสียชีวิต 12 บาดเจ็บ 3 ราย ที่จังหวัดสระแก้ว


นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า จากกรณีรถตู้หมายเลขทะเบียน 34-0405 กรุงเทพมหานคร ชนกับรถบรรทุกพ่วง 18 ล้อ (หัวลาก) ทะเบียน 70-1234 อุตรดิตถ์ และ (ตัวพ่วง) ทะเบียน 70-1235 อุตรดิตถ์ บริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอวังสมบูรณ์ ตำบลวังใหม่ อำเภอวังสมบูรณ์ จังหวัดสระแก้ว ทำให้มีผู้บาดเจ็บ 3 ราย และมีผู้เสียชีวิต 12 ราย โดยผู้เสียชีวิตทั้ง 12 ราย เป็นคนไทยที่ขับรถตู้ 1 ราย และอีก 11 ราย เป็นแรงงานชาวลาวที่นั่งโดยสารมากับรถตู้คันที่ประสบอุบัติเหตุดังกล่าว เหตุเกิดเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2562 


เบื้องต้นได้สั่งการให้สายส่งเสริมและประกันภัยภูมิภาค สายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ บูรณาการร่วมกับ สำนักงาน คปภ. ภาค 6 (ชลบุรี) และสำนักงาน คปภ. จังหวัดสระแก้ว รายงานความเสียหายอย่างเร่งด่วนผ่าน Platform การรายงานข้อมูลกรณีอุบัติภัยกลุ่มหรือรายใหญ่ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์และให้ประสานความร่วมมือกับบริษัทประกันภัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนลงพื้นที่อำนวยความสะดวกด้านประกันภัยให้กับครอบครัวของผู้เสียชีวิต และผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ รวมทั้งติดตามและตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมว่า ผู้เสียชีวิตทั้ง 12 ราย ที่เป็นคนไทยและแรงงานต่างด้าวชาวลาวได้มีการทำประกันชีวิตหรือประกันอุบัติเหตุประเภทกลุ่มไว้ด้วยหรือไม่ เพื่อใช้ระบบประกันภัยช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับครอบครัวของผู้เสียชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม

ทั้งนี้ ได้รับรายงานเบื้องต้นจากสำนักงาน คปภ. จังหวัดสระแก้ว ว่า รถตู้หมายเลขทะเบียน 34-0405 กรุงเทพมหานคร ทำประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) ไว้กับบริษัทวิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) กรมธรรม์เลขที่ 12722-61208/กธ/6254507 เริ่มคุ้มครองวันที่ 31 ธันวาคม 2561 สิ้นสุดความคุ้มครอง 31 ธันวาคม 2562 และทำประกันภัยรถภาคสมัครใจไว้กับบริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) กรมธรรม์เลขที่ 61-1-2702138 เริ่มคุ้มครองวันที่ 12 ตุลาคม 2561 สิ้นสุดความคุ้มครองวันที่ 12 ตุลาคม 2562 โดยให้ความคุ้มครองชีวิต ร่างกาย อนามัย บุคคลภายนอก 300,000 บาทต่อคน หรือ 10,000,000 บาทต่อครั้ง กรณีความคุ้มครองทรัพย์สินบุคคลภายนอก 600,000 บาทต่อครั้ง กรณีเสียหายต่อรถยนต์ 330,000 บาทต่อครั้ง ประกันอุบัติเหตุกรณีเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพถาวร 100,000 บาทต่อคน  ค่ารักษาพยาบาล 50,000 บาทต่อคน โดยคุ้มครองผู้ขับขี่ 1 คน ผู้โดยสาร 14 คน และคุ้มครองประกันตัวผู้ขับขี่ 200,000 บาทต่อครั้ง


สำหรับรถบรรทุกพ่วง 18 ล้อ (หัวลาก) ทะเบียน 70-1234 อุตรดิตถ์ ทำประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) ไว้กับบริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) กรมธรรม์เลขที่ 06386-61502/กธ/4528361 เริ่มคุ้มครองวันที่ 31 ธันวาคม 2561 สิ้นสุดความคุ้มครอง วันที่ 31 ธันวาคม 2562 และได้ทำประกันภัยรถภาคสมัครใจไว้กับบริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) กรมธรรม์เลขที่ 10586-61502/กธ/032791-10 เริ่มคุ้มครองวันที่ 25 ตุลาคม 2561 สิ้นสุดความคุ้มครอง วันที่ 25 ตุลาคม 2562  โดยให้ความคุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอก กรณีเสียหายต่อชีวิตร่างกายหรืออนามัย (เฉพาะส่วนเกินวงเงินสูงสุดตาม พ.ร.บ.) 300,000 บาทต่อคน หรือ10,000,000 บาทต่อครั้ง กรณีความเสียหายต่อทรัพย์สินบุคคลภายนอก 1,000,000 บาทต่อครั้ง กรณีความเสียหายต่อรถยนต์ 2,000,000 บาทต่อครั้ง ในส่วนของประกันอุบัติเหตุ กรณีเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพถาวร 100,000 บาทต่อคน ค่ารักษาพยาบาล 100,000 บาทต่อคน โดยคุ้มครองผู้ขับขี่ 1 คน ผู้โดยสาร 2 คน และคุ้มครองการประกันตัวผู้ขับขี่ 200,000 บาท ต่อครั้ง ส่วน (ตัวพ่วง) ทะเบียน 70-1235 อุตรดิตถ์ ได้ทำประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) ไว้กับ บริษัทวิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) กรมธรรม์เลขที่ 06386-61502/กธ/4528362 เริ่มคุ้มครองวันที่ 31 ธันวาคม 2561 สิ้นสุดความคุ้มครอง วันที่ 31 ธันวาคม 2562 และได้ทำประกันภัยรถภาคสมัครใจ ไว้กับบริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) กรมธรรม์เลขที่ 10586-61502/กธ/032792-10 เริ่มคุ้มครองวันที่ 25 ตุลาคม 2561 สิ้นสุดความคุ้มครองวันที่ 25 ตุลาคม 2562 โดยให้ความคุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอกกรณีเสียหายต่อชีวิตร่างกายหรืออนามัย (เฉพาะส่วนเกินวงเงินสูงสุดตาม พ.ร.บ.) 300,000 บาทต่อคน หรือ 10,000,000 บาทต่อครั้ง กรณีความเสียหายต่อทรัพย์สินบุคคลภายนอก 600,000 บาทต่อครั้ง กรณีความเสียหายต่อรถยนต์ 450,000 บาทต่อครั้ง

สำหรับการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ครอบครัวของผู้เสียชีวิต 12 ราย และผู้บาดเจ็บ 3 ราย นั้น จากการติดตามอย่างใกล้ชิดทราบว่าผู้เสียชีวิต 1 ราย ที่เป็นคนไทยและเป็นผู้ขับรถตู้มีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่จังหวัดระยอง และทางครอบครัวจะนำศพกลับไปบำเพ็ญกุศลที่จังหวัดระยอง ดังนั้น สำนักงาน คปภ.จังหวัดสระแก้ว จึงประสานไปยังสำนักงาน คปภ.จังหวัดระยอง อำนวยความสะดวกด้านประกันภัยให้กับญาติผู้เสียชีวิตรายดังกล่าวแล้ว ในส่วนผู้เสียชีวิต 11 ราย ที่เป็นแรงงานต่างด้าวชาวลาวนั้น ได้มีการประสานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและฝ่ายปกครองเกี่ยวกับการออกเอกสารต่าง ๆ ของผู้เสียชีวิต เพื่ออำนวยความสะดวกในการช่วยประสานกับบริษัทประกันภัย รวมทั้งเร่งรัดเรื่องการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้มีความรวดเร็วและเป็นธรรม ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนจัดทำเอกสารประกอบการจ่ายค่าสินไหมทดแทนต่อไป ในส่วนผู้บาดเจ็บ 3 รายนั้น มีบาดเจ็บเล็กน้อย 1 ราย ได้เดินทางกลับบ้านแล้ว ส่วนผู้บาดเจ็บอีก 2 ราย ที่รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว ทางสำนักงาน คปภ.ได้มีการประสานแจ้งสิทธิ์ค่ารักษาพยาบาลกับทางญาติของผู้บาดเจ็บและโรงพยาบาลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

จากอุบัติเหตุครั้งนี้ผู้บาดเจ็บที่โดยสารมากับรถตู้จะได้รับค่ารักษาพยาบาลตามจ่ายจริงและค่าเสียหายที่จ่ายจริงตาม พ.ร.บ. ไม่เกิน 80,000 บาท ค่ารักษาพยาบาลตามสัญญาแนบท้ายกรมธรรม์ประกันภัยรถภาคสมัครใจ 50,000 บาทต่อคน และค่ารักษาพยาบาล ค่าเสียหายตามมูลละเมิดตามความเสียหายที่แท้จริงจากกรมธรรม์ภาคสมัครใจในส่วนของความรับผิดต่อบุคคลภายนอกไม่เกิน 300,000 บาท ส่วนผู้ขับรถตู้คนไทยที่เสียชีวิต เบื้องต้นจะได้รับค่าสินไหมทดแทน 135,000 บาท จากกรมธรรม์ประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) จำนวน 35,000 บาท และจากสัญญาเพิ่มเติมประกันอุบัติเหตุ (PA) จำนวน 100,000 บาท

สำหรับผู้โดยสารที่เป็นแรงงานต่างด้าวชาวลาวทั้ง 11 ราย จะได้รับค่าสินไหมทดแทนรายละไม่ต่ำกว่า 700,000 บาท จากกรมธรรม์ประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) จำนวน 300,000 บาท สัญญาเพิ่มเติมประกันอุบัติเหตุ (PA) จำนวน 100,000 บาท และความคุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอกจากกรมธรรม์ประกันภัยรถภาคสมัครใจ จำนวน 300,000 บาท ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนกำลังเร่งดำเนินการสรุปผลคดีเพื่อประกอบการพิจารณาชดใช้ค่าสินไหมทดแทนต่อไป .-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

มอบตัวแล้วอดีตเจ้าคณะตำบล ยิงเจ้าอาวาสวัดดัง จ.เลย

มหาสารคาม 6 ส.ค. – มอบตัวแล้วอดีตเจ้าคณะตำบล ยิงเจ้าอาวาสวัดในพื้นที่ อ.เชียงคาน จ.เลย บาดเจ็บ หลังหนีไปกบดานที่บ้านเกิด จ.มหาสารคาม ตำรวจตั้งข้อหาพยายามฆ่า จากกรณี พระอธิการมานพพร อายุ 47 ปี เจ้าอาวาสวัดโพนสว่าง และเจ้าคณะตำบลเขาแก้ว ขับรถยนต์หลบหนีไป หลังใช้ปืนจ่อยิงพระมหาโยธิน เจ้าอาวาสวัดป่าพัฒนาราม และเจ้าคณะตำบลจอมศรี จนได้รับบาดเจ็บ ขณะที่พระครูถาวรเทวธรรม เจ้าคณะตำบลธาตุ และเจ้าอาวาสวัดสวนธรรมเทวราช เจ้าคณะตำบลธาตุ ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ด้วย หลบหนีได้ทันจึงไม่ได้รับบาดเจ็บ เกิดเหตุในวัดพื้นที่ อ.เชียงคาน จ.เลย เมื่อวันที่ 4 ส.ค.ที่ผ่านมา ต่อมาศาลจังหวัดเลยอนุมัติหมายจับในข้อหา “พยายามฆ่าผู้อื่น และมีอาวุธปืน กระสุนปืน พกพาโดยไม่มีเหตุอันควร” วันนี้ ที่ห้องสืบสวน สภ.เมืองมหาสารคาม พระอธิการมานพพร หรือนายมานพพร ผู้ต้องหาก่อเหตุยิงพระ 2 รูป เข้ามอบตัว เนื่องจากถูกตำรวจกดดันอย่างหนัก เบื้องต้นให้การว่า วันเกิดเหตุมีการปรึกษากัน แต่ไม่ได้ทะเลาะ สาเหตุมาจากตนเองโดนกลั่นแกล้งจากทางพระทั้ง […]

แรงงานกัมพูชาแห่กลับประเทศ รัฐบาลขู่ยึดที่ดิน-ถอดสัญชาติ

6 ส.ค. – รัฐบาลกัมพูชาขู่ยึดที่ดินและถอดสัญชาติแรงงานที่ดื้ออยู่ไทย ส่งผลวันนี้ (6 ส.ค.) ชาวกัมพูชาแห่เดินทางกลับประเทศ ทำจุดผ่านแดนถาวรตลาดบ้านแหลม อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี รถติดยาว 8 กิโลเมตร ที่จุดผ่านแดนถาวรตลาดบ้านแหลม ต.เทพนิมิต อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี ตั้งแต่ช่วง 06.00 น. รถติดยาวเหยียดร่วม 8 กิโลเมตร ทั้งรถเช่าเหมา รถตู้ และรถรับจ้างที่ขนแรงงานชาวกัมพูชากลับประเทศ ส่วนภายในบริเวณตลาดบ้านแหลม ช่วงเวลา 07.00 น.ที่ผ่านมา ยังพบชาวกัมพูชาร่วมกว่า 20,000 คน ขนสัมภาระ ข้าวของ มารอเต็มหน้าด่าน มากกว่า 2-3 วันที่ผ่านมา ทั้งนี้ เป็นเพราะมีกระแสข่าวรัฐบาลกัมพูชาขู่จะออกมาตรการเอาจริงกับแรงงานกัมพูชาที่ยังดื้อไม่ยอมกลับประเทศก่อนวันที่ 10 สิงหาคมนี้ จะยึดที่ดินทำกินและถอดสัญชาติ คาดว่าจุดนี้จุดเดียวคนจะกลับกัมพูชาเฉียดครึ่งแสนคน แรงงานกัมพูชากลับประเทศ นายจ้างกลัวไปไม่กลับที่ตลาดสดแห่งหนึ่งใน อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี พบว่ายังมีแรงงานกัมพูชาก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ แต่มีสีหน้าเคร่งเครียดจากกระแสข่าวที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน แรงงานเล่าว่าไม่อยากกลับกัมพูชา กลับไปก็ไม่มีงานทำ ทางครอบครัวที่กัมพูชาก็โทรมาห่วงว่าคนไทยจะทำร้าย […]

เปิดภาพทหารไทยวางรั้วลวดหนามช่องอานม้า ตรึงกำลังเข้ม

6 ส.ค.- เปิดภาพทหารไทยวางรั้วลวดหนามช่องอานม้า พร้อมตรึงกำลังเข้ม ป้องกันทหารกัมพูชาตัดรั้วลวดหนาม รอบ 2 เมื่อวันที่ 6 ส.ค. 68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเจ้าหน้าที่ตรวจพบกำลังทหารกัมพูชาเข้ามาดำเนินการตัดลวดหีบเพลง ที่ทางฝ่ายไทยได้วางไว้เพื่อเสริมความมั่นคงในพื้นที่เขตอธิปไตยของไทย ณ บริเวณพื้นที่ตลาดช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวานนี้ (5 ส.ค.) โดยทางฝ่ายไทยได้ดำเนินการแจ้งให้ยุติการกระทำดังกล่าว พร้อมให้ถอยออกจากพื้นที่ ซึ่งฝ่ายกัมพูชาปฏิบัติตาม และได้ออกจากบริเวณดังกล่าวในทันที ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้เข้าดำเนินการกางลวดหีบเพลงให้เข้าสู่สภาพเดิม ปัจจุบันยังคงมีการตรึงกำลังที่ฐานปฏิบัติการในพื้นที่เขตอธิปไตยของไทย-สำนักข่าวไทย

เอาผิด 2 ข้อหา อดีตทหาร BHQ-เรียกภรรยาให้ข้อมูล

บุรีรัมย์ 6 ส.ค. – ผู้การบุรีรัมย์ เค้นสอบอดีตทหารองครักษ์พิทักษ์ฮุนเซน ยืนยันไม่ได้เป็นสายลับ หลังถูกจับพร้อมเครื่องแบบทหาร-อาวุธปืน เบื้องต้นตั้ง 2 ข้อหา พร้อมเรียกภรรยามาให้ข้อมูล จากกรณีตำรวจ สภ.ลำดวน จ.บุรีรัมย์ จับกุมนายวิน ดา ทหารเขมรชุด BHQ องครักษ์พิทักษ์ฮุน เซน ได้ในบ้านพักหลังหนึ่งใน อ.กระสัง ซึ่งเป็นบ้านของภรรยาชาวไทย พร้อมปืนลูกซองไทยประดิษฐ์และเครื่องกระสุนปืนลูกซองเบอร์ 12 จำนวน 3 นัด กระสุนปืนขนาด.38 อีก 3 นัด และเครื่องแบบทหารที่มีตราสัญลักษณ์ BHQ หลายรายการ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของทหารกัมพูชา หน่วยรบพิเศษ BHQ ซึ่งเป็นองครักษ์พิทักษ์สมเด็จฮุน เซน จึงควบคุมตัวมาสอบปากคำที่สถานีตำรวจภูธรลำดวน อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์ เพราะคาดว่าน่าจะเป็นสายลับเข้ามาฝังตัว ส่งความเคลื่อนไหวทางการทหารไทยให้ฝ่ายกัมพูชา รับเป็นทหารBHQ จริง แต่ไม่ใช่สายลับพล.ต.ต.ณรงค์ศักดิ์ พรหมทา ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ ลงพื้นที่สอบปากคำนายวิน ดา ด้วยตัวเอง ร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง […]