ทร.จัดพิธีบวงสรวงพระภูมิเจ้าที่-เซ่นไหว้แม่ย่านางเรือในพระราชพิธีเสด็จฯ ถวายผ้าพระกฐิน

บางกอกน้อย 11 ก.ค.- กองทัพเรือจัดพิธีบวงสรวงพระภูมิเจ้าที่และเซ่นไหว้แม่ย่านางเรือในพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 ด้านรองเสนาธิการทหารเรือเผย เตรียมทยอยอัญเชิญเรือลงน้ำตั้งเเต่วันพรุ่งนี้ เเละฝึกซ้อมย่อยเสมือนจริงครั้งแรก 22 ส.ค. ก่อนซ้อมใหญ่ครั้งสุดท้าย 21 ต.ค.ขณะที่กาพย์เห่เรือเเต่งใหม่ทั้งหมด 3 บท อยู่ระหว่างเสนอต่อสำนักพระราชวัง ด้านกรมศิลป์เผยบูรณะปฏิสังขรณ์เรือทุกลำเรียบร้อยเเล้ว


พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นประธานในพิธีบวงสรวงพระภูมิเจ้าที่ พิธีสงฆ์ และเซ่นไหว้แม่ย่านางเรือพระราชพิธี 14 ลำ ในพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเรือพระราชพิธีและท่าวาสุกรี เพื่อความเป็นสิริมงคลเเละขวัญกำลังใจแก่กำลังพลประจำเรือ ก่อนนำเรือไปใช้งาน ซึ่งถือเป็นประเพณีที่ยึดถือปฏิบัติมาตั้งเเต่โบราณ ด้วยความเชื่อว่าเรือทุกลำมีเเม่ย่านางสิงสถิตอยู่ คอยปกปักรักษาเเละป้องกันอันตราย 


โดยในเวลา 07.00 น.ได้ทำพิธีบวงสรวงที่พิพิธภัณฑสถานเเห่งชาติเรือพระราชพิธี มีเรือร่วมในพิธี ประกอบด้วย เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณรัชกาลที่ 9 เรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์ เรือเอกชัยเหินหาว เรือครุฑเหินเห็จ เรือกระบี่ปราบเมืองมาร เเละเรืออสุรวายุภักษ์ 


จากนั้นในเวลา 10.00 น.ทำพิธีบวงสรวงที่ท่าวาสุกรี โดยมีเรือร่วมพิธี ได้แก่ เรือเอกชัยหลาวทอง เรือกระบี่ราญรอนราพณ์ เรือครุฑเตร็จไตรจักร เรือพาลีรั้งทวีป เรือสุครีพครองเมืองเเละเรืออสุรปักษี เเละหลังจากเสร็จพิธีบวงสรวง ในวันที่ 12-23 ก.ค.นี้จะเชิญเรือพระที่นั่งเเละเรือรูปสัตว์ลงน้ำ เเละลากจูงเรือเข้าเก็บที่อู่ทหารเรือธนบุรีเพื่อเตรียมงานพระราชพิธี ก่อนจะมีพระราชพิธีจริงในวันที่ 24 ต.ค.นี้

พล.ร.ท.จงกล มีสวัสดิ์ รองเสนาธิการทหารเรือ ประธานคณะกรรมการจัดเตรียมขบวนเรือพระราชพิธี กล่าวว่า การฝึกซ้อมกำลังพลของขบวนเรือในพระราชพิธีครั้งนี้ ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการเข้าจัดรูปขบวนเรือในแม่น้ำ โดยจะฝึกซ้อมที่วัดราชาธิวาสใกล้ท่าวาสุกรี ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ 8 ก.ค.ที่ผ่านมาจนถึงกลางเดือนส.ค.

จากนั้นจะซ้อมย่อยครั้งที่ 1 วันที่ 22 ส.ค. เเละซ้อมย่อยต่อเนื่องตามลำดับรวม 10 ครั้ง เเละซ้อมใหญ่ 2 ครั้ง ซึ่งวันซ้อมใหญ่ครั้งสุดท้ายคือวันที่ 21 ต.ค.นี้ โดยเป็นการซ้อมใหญ่เสมือนจริง ทั้งการเเต่งกายตามจริงเพื่อให้คุ้นเคยกับเครื่องแบบ 

ส่วนการอัญเชิญเรือพระที่นั่งลงน้ำ เริ่มทยอยอัญเชิญตั้งเเต่วันพรุ่งนี้ โดยมีลำดับการเชิญลงน้ำตามระดับน้ำ ซึ่งภายในปลายเดือนก.ค.เรือทุกลำจะถูกอัญเชิญลงน้ำทั้งหมด โดยเรือพระที่นั่งเเละเรือรูปสัตว์จะอัญเชิญไปไว้ที่อู่ทหารเรือธนบุรี จำนวน 2 อู่ ส่วนกำลังพลตอนนี้มีความพร้อมใจทั้งกายเเละใจแล้ว 

ขณะที่ประชาชนที่อาศัยอยู่ริมน้ำตามเส้นทางเเม่น้ำที่เสด็จพระราชดำเนินผ่าน ให้ตกเเต่งอาคารบ้านเรือนให้สวยงาม เเละเเต่งกายด้วยความสุภาพเรียบร้อย ส่วนกาพย์เห่เรืออยู่ระหว่างเสนอต่อสำนักพระราชวัง ซึ่งมีทั้งหมด 3 บทเป็นการเเต่งใหม่ทั้งหมด โดยจะเริ่มใช้ซ้อมย่อยครั้งที่ 1 ในวันที่ 22 ส.ค.นี้ด้วย

ด้านนายอนันต์ ชูโชติ อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า กรมศิลปากรได้รับผิดชอบในส่วนการซ่อมแซมลวดลายประดับพระราชพิธีตั้งแต่เดือนม.ค.เป็นต้นมา ซึ่งขณะนี้ได้บูรณะปฏิสังขรณ์เรือทั้ง 52 ลำเป็นที่เรียบร้อยเเล้ว โดยเฉพาะเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เร่งให้เสร็จตั้งแต่เม.ย.ที่ผ่านมาเพื่อให้ทันงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก 

ทั้งนี้ การบูรณะซ่อมแซมคงรูปแบบดั้งเดิมทั้งหมด แต่อาจเปลี่ยนตรงจุดที่หมองคล้ำหรือชำรุด โดยเฉพาะเรือสุพรรณหงส์ ทำใหม่เกือบทั้งลำ มีการลงรักปิดทองประดับกระจกใหม่ ฉัตร บัลลังก์กัลยาเรือ เสร็จหมดแล้ว ซึ่งระหว่างการฝึกซ้อม กรมศิลปากรจะเข้ามาคอยดูแลอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เรือมีความสวยงามอยู่เสมอส่วนด้านโครงสร้างนั้น เป็นหน้าที่ของกองทัพเรือในการบูรณะซ่อมแซม

สำหรับการเสด็จเลียบพระนคร โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารคในช่วงการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐินปลายปี พ.ศ.2562 ถือเป็นพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเบื้องปลาย  เเละการจัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารคครั้งนี้ เป็นครั้งเเรกในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งได้มีการเตรียมเรือพระราชพิธีทั้งสิ้น 52 ลำ มาจัดขบวน หลังว่างเว้นมาตั้งเเต่ปีพ.ศ.2555

ขณะที่กำลังพลประจำเรือพระราชพิธีได้คัดเลือกกำลังพลจากหน่วยต่าง ๆ ของกองทัพเรือ จำนวน 2,200 นาย ส่วนใหญ่เป็นกำลังพลที่ไม่เคยเป็นกำลังพลประจำเรือพระราชพิธีมาก่อน และมีการฝึกซ้อมมาอย่างต่อเนื่อง โดยจะเริ่มฝึกซ้อมในแม่น้ำเจ้าพระยาตั้งแต่วันที่ 8 ก.ค.เป็นต้นไป โดยเป็นการฝึกซ้อมการเข้ารูปขบวน และการเดินทางเป็นรูปขบวนตามลำดับ ซ้อมจำนวน 12 ครั้ง แบ่งเป็นการซ้อมย่อยจำนวน 10 ครั้ง และซ้อมใหญ่ จำนวน 2 ครั้ง โดยการซ้อมย่อยในเเม่น้ำเจ้าพระยาครั้งเเรกจะมีขึ้นในวันที่ 22 ส.ค.นี้

สำหรับเส้นทางเสด็จพระราชดำเนินที่ได้เตรียมไว้เป็นเส้นทางเดียวกับที่เคยใช้มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 9 คือเส้นทางจากท่าวาสุกรี ถึง วัดอรุณราชวราราม รวมระยะทาง 4.2 กิโลเมตร 

ส่วนการจัดเตรียมขบวนเรือพระราชพิธี จะมีการจัดรูปขบวนตามโบราณราชประเพณี แบ่งเป็น 5 ริ้ว 3 สาย ได้แก่ ริ้วสายกลาง เป็นเรือสายสำคัญ ประกอบด้วยเรือพระที่นั่ง 4 ลำ เเละเรือของผู้บัญชาการขบวนเรือ ได้แก่ เรืออีเหลือง เรือกลองนอก เรืองแตงโม เรือกลองใน เรือตำรวจนอกเเละเรือตำรวจใน ,ริ้วสายใน ขนาบข้างสายเรือพระที่นั่ง มีเรือทองขวานฟ้าเเละเรือทองบ้าบิ่นเป็นเรือประตูหน้า เรือเสือทยานชลเเละเรือเสือคำรณสินธุ์ เป็นเรือพิฆาต เรือรูปสัตว์ 8 ลำ เเละปิดท้ายด้วยเรือเอกชัยเหินหาวเเละเรือเอกชัยหลาวทอง เเละริ้วสายนอก มีเรือดั้งเเละเรือเเซง สายละ 14 ลำ รวมทั้งหมด 52 ลำ 

ขณะที่เรือทุกลำทำจากไม้ มีอายุในการสร้างยาวนาน โดยเฉพาะเรือพระที่นั่ง 3 ลำ คือเรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์ สร้างในรัชกาลที่5 มีอายุกว่า 102 ปี , เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ อายุ108 ปี,เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช สร้างในรัชกาลที่ 6 อายุ 95 ปี, เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่9 อายุ 23 ปี ส่วนเรืออื่นๆโดยเฉพาะเรือรูปสัตว์มีอายุการสร้างนับ 100 ปี .-สำนักข่าวไทย 

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ผบ.พล.7 ของเขมร โดนกระสุนปืนใหญ่ยิงดับ บนช่องตาเฒ่า-ภูมะเขือ

26 ก.ค. – พลตรีดวง ซอมเนียง ผบ.พล.7 ถูกกระสุนปืนใหญ่ยิงเสียชีวิต ที่ช่องตาเฒ่า-ภูมะเขือ จากการปะทะแย่งชิงพื้นที่ระหว่างทหารไทย-กัมพูชา ตลอดวันนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การปะทะระหว่างทหารไทย กับทหารกัมพูชา บริเวณภูมะเขือ และช่องตาเฒ่า ตั้งแต่เช้ามืดวันนี้ ทหารไทยสามารถปกป้องพื้นที่ภูมะเขือ และกดดันทหารกัมพูชาออกจากพื้นที่ได้สำเร็จ ในขณะที่ทหารกัมพูชา พยายามกลับเข้ามาโจมตีกลับ เพื่อยึดภูมะเขือ ส่งผลให้มีทหารกัมพูชาเสียชีวิตหลายนาย หนึ่งในนั้นคือ พลตรีดวง ซอมเนียง ผบ.พล.7 ถูกกระสุนปืนใหญ่ยิงเสียชีวิต ที่ช่องตาเฒ่า-ภูมะเขือ. – สำนักข่าวไทย

ทอ.ส่ง F-16 และ กริพเพน โจมตีสกัดอาวุธวิถีโค้งกัมพูชา

26 ก.ค.- กองทัพอากาศส่ง F-16 และ กริพเพน โจมตียุทธบริเวณ “ภูมะเขือ” สกัดอาวุธวิถีโค้งกัมพูชา อีกจุดปราสาทตาเมือนธม ผลปฏิบัติลุล่วงกลับฐานปฏิบัติด้วยความปลอดภัย เมื่อวันที่ 26 ก.ค.68 กองทัพอากาศ ส่งเครื่องบินขับไล่ F-16 จำนวน 2 ลำ และเครื่องบินกริพเพน จำนวน 2 ลำ ออกปฏิบัติการโจมตี พื้นที่ยุทธบริเวณเป้าหมายทหาร ของทางทหารกัมพูชาบริเวณภูมะเขือ หลังทหารกัมพูชาเตรียมใช้อาวุธวิธีโค้งยิงใส่ฝ่ายไทยหวังยึดภูมะเขือ ส่วนอีกจุดบริเวณปราสาทตาเหมือนธม โดยเป็นจุดที่ทางทหารกัมพูชาได้ตั้งปืนใหญ่และกำลังพลยิงข้ามมายังฝั่งประเทศไทยโดยไร้ทิศทาง ทั้งนี้ผลการปฏิบัติการ ทำลายเป้าหมายได้ทั้งสองจุด ลุล่วงไปด้วยดี และได้บินกลับฐานปฏิบัติด้วยความปลอดภัย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การขึ้นบินกริพเพนของกองทัพ ในภารกิจสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ครั้งนี้ ถือเป็น ‘ประวัติศาสตร์’ ของเครื่องบินขับไล่กริพเพนที่มีประจำการในหลายประเทศ ที่ใช้ในภารกิจสู้รบ-ใช้อาวุธจริงครั้งแรก ที่ผ่านมา กริพเพน ถูกใช้เพียงภารกิจบินรักษาอาณาเขต เช่น บริเวณทะเลบอลติกในทวีปยุโรป ในฐานะสมาชิก ‘นาโต้’ ผ่านเหตุการณ์สู้รบ ‘ยูเครน-รัสเซีย’ และภารกิจเฝ้าตรวจ-คุ้มกันน่านฟ้า ประเทศลิเบีย ที่กองทัพอากาศสวีเดนเข้าร่วมภารกิจ -สำนักข่าวไทย

กริพเพน

ทอ. ส่ง F16 – กริพเพน ปฏิบัติการรอบ 2 ทิ้งบอมบ์พื้นที่ทางทหารเขมร

26 ก.ค. – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เครื่องบินขับไล่ F-16 จำนวน 2 ลำ และกริพเพน 2 ลำ ออกปฏิบัติการรอบสอง โจมตียุทธบริเวณทำลายพื้นที่ทหารกัมพูชา บริเวณปราสาทตาควาย อ.พนมดง จ.สุรินทร์ ภารกิจลุล่วง และกับฐานปฏิบัติโดยปลอดภัย สำหรับพื้นที่บริเวนนี้ ทหารไทยกับทหารกัมพูชา ปะทะกันดุเดือด โดยทหารไทยพยายามทำลายพื้นที่กัมพูชาวางกำลังไว้หลายระลอก ในขณะที่กัมพูชาโต้กลับและระดมกำลังทหารมาเพิ่มเติม ส่งผลให้พื้นที่บริเวนนี้มีการปะทะดุเดือดตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค.ถึงวันนี้. – สำนักข่าวไทย

เปิดภาพคลังอาวุธทหารเชมร “สมรภูมิภูมะเขือ”

26 ก.ค.- เปิดภาพคลังอาวุธทหารเชมร “สมรภูมิภูมะเขือ” ทหารไทยยึดอาวุธปืน-โดรน 11 รายการ พร้อมมือถือ 7 เครื่อง ใช้ถ่ายคลิปยั่วยุทหารไทย เมื่อวันที่ 26 ก.ค.68 รายงานข่าวจากกองทัพภาคที่ 2 ระบุว่า สำหรับปฏิบัติการ ของเจ้าที่ทหารกองทัพภาคที่ 2 บนภูมะเขือที่สามารถยึดกลับคืนมาได้ ทำให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 10 นาย พร้อมทั้งตรวจพบและสามารถยึดอาวุธ ยุทโธปกรณ์ จำนวน 11 รายการ ประกอบด้วย นอกจากนี้ยังพบโทรศัพท์มือถือ 7 เครื่อง ที่ทางทหารกัมพูชาชอบถ่ายในเวลาทำคลิปเมื่อเจอกับทหารไทยบริเวณแนวชายแดน -สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

มทภ.2 ลั่น “ผมยังอยู่” หลังกัมพูชาปล่อยเฟกนิวส์

กทม. 28 ก.ค.-มทภ.2 ลั่น “ผมยังอยู่” หลังกัมพูชาปล่อยเฟกนิวส์ ทหารถือรูปภาพ ข้อความ RIP หวังทำลายขวัญกำลังใจ ยันจะต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ลูกน้อง ดูแลความปลอดภัยประชาชน ในการปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 28 ก.ค. พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่2 ระบุ ภายหลัง กัมพูชามีการรายงานและเผยแพร่ถือรูปทหารถือภาพของตนเอง พร้อมข้อความ RIP ว่า เป็นข่าวปลอม หวังทำลายขวัญกำลังใจทหารแนวหน้าและคนไทย ยืนยันว่า ปัจจุบันนี้ ตนยังต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่เจ้าหน้าที่ทหารทุกคนในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อดูแลความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ รวมถึงการปกป้องอธิปไตยของไทยต่อเนื่อง จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย และประชาชนมีความปลอดภัยอย่างแท้จริง พล.ท.บุญสิน ระบุต่อว่า ที่ผ่านมา ฝ่ายกัมพูชา พยายามบิดเบือนข้อมูล โดยการปล่อยข่าวเท็จ สร้างความสับสน ในหมู่ของคนไทย ดังนั้น อยากให้ประชาชนติดตามข้อมูลข่าวสารจากหน่วยงาน ที่เชื่อถือได้.-313.-สำนักข่าวไทย

ทบ. เผยกัมพูชาโจมตีตั้งแต่ 5 ทุ่มถึงรุ่งสาง

กทม. 28 ก.ค.-ทบ. เผยกัมพูชาโจมตีตั้งแต่ 5 ทุ่มถึงรุ่งสาง ขณะ ทภ.2 เตือนอย่าเชื่อข่าวปลอม กองทัพไม่สนทางรัฐบาลเจรจา กร้าวเดินหน้ารบ-ประกาศอัยการศึก พร้อมชวนกดรีพอร์ตโพสต์-คอมเมนต์ผู้ไม่หวังดีโจมตีสื่อทางการไทย กองทัพบกทันกระแส รายงานว่าเข้าวันที่ 5 ของสู้รบระหว่างไทย-กัมพูชา ตั้งแต่ 5 ทุ่ม เที่ยงคืน ตี 1 ตี 3 จนฟ้าเริ่มสาง ทหารไทยยังไม่ได้พักมีทุกแบบ ทั้งคืน นอกจากนี้ กองทัพภาคที่2 ยังได้ขอความร่วมมือ ชาวโซเชียลไทย กดรีพอร์ต Report โพสต์หรือคอมเม้นต์ของผู้ไม่หวังดี ที่ต้องการเข้ามา กลั่นแกล้ง ก่อกวน และโจมตี สื่อทางการไทย พร้อนเตือนประชาชน อย่าหลงเชื่อข่าวปลอม กรณีที่มีข่าวว่า “กองทัพแข็งกร้าว! ลั่นเดินหน้ารบ ซัดรบ.อย่าหวังเจรจา ขณะเขมรยึดพื้นที่ไทย จ่อใช้กฎอัยการศึกทั่วประเทศ”.-313.-สำนักข่าวไทย

ไทยตอนบน ยังมีฝนตกหนักบางแห่ง และฝนตกหนักมากบางพื้นที่

กทม. 28 ก.ค.-กรมอุตุฯ เตือนไทยตอนบน ยังมีฝนตกหนักบางแห่ง และฝนตกหนักมากบางพื้นที่ในภาคเหนือและอีสาน ระวังน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ประเทศไทยตอนบนยังคงมีฝนตกหนักบางแห่ง และมีฝนตกหนักมากบางพื้นที่ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะบริเวณจังหวัดเชียงราย พะเยา น่าน หนองคาย บึงกาฬ อุดรธานี สกลนคร และนครพนม ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่ง โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม ทั้งนี้เนื่องจากร่องมรสุมพาดผ่านตอนบนของภาคเหนือ และประเทศลาวตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบน และอ่าวไทยตอนบนมีกำลังปานกลาง โดยมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทย 06.00 น. วันนี้ ถึง 06.00 น. วันพรุ่งนี้ […]

กองทัพภาคที่ 2 แจงภาพระเบิดอาคารร้างฝั่งกัมพูชา

กทม. 28 ก.ค.-กองทัพภาคที่ 2 แจงภาพระเบิดอาคารร้างฝั่งกัมพูชา พบฝ่ายกัมพูชาตั้งอาวุธยิงสนับสนุนวิถีโค้งโจมตีพื้นที่พลเรือนฝ่ายไทย ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 ชี้แจงกรณีมีภาพการระเบิดที่อาคารร้างฝั่งกัมพูชา ตามที่ปรากฏข่าวสารในสื่อสังคมออนไลน์ เหตุการณ์การระเบิดบริเวณอาคารร้างฝั่งกัมพูชาซึ่งอยู่ใกล้แนวชายแดนไทย ฝ่ายไทยมีการตรวจพบว่าฝ่ายกัมพูชาได้ตั้งอาวุธยิงสนับสนุนวิถีโค้งไว้บริเวณพื้นที่พลเรือน และสิ่งปลูกสร้างที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับภารกิจทางทหารในหลายพื้นที่ ซึ่งที่ผ่านมากัมพูชาใช้อาวุธดังกล่าวในการโจมตีพื้นที่พลเรือนของฝ่ายไทยอย่างต่อเนื่อง นำมาซึ่งความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนชาวไทย อันถือเป็นการกระทำที่เข้าข่าย “ใช้พลเรือนเป็นโล่มนุษย์” (Human Shield) ซึ่งเป็นการละเมิดหลักมนุษยธรรมสากล ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 จึงขอยืนยันว่า การใช้กำลังทางทหารของกองทัพไทยมุ่งเป้าเฉพาะไปยังเป้าหมายทางทหารที่ตรวจพบว่ามีการโจมตี หรือคุกคามต่อความมั่นคงของชาติไทย เท่านั้น ทั้งนี้ ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 ยังคงยึดมั่นในหลักสันติวิธี การเคารพในอธิปไตยของประเทศเพื่อนบ้าน และไม่ใช้ความรุนแรงกับพลเรือนทุกกรณี แต่ต้องดำเนินมาตรการป้องกันตนเองจากภัยคุกคามที่เกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ และอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายระหว่างประเทศ.-สำนักข่าวไทย