ปทุมธานี24 มิ.ย.-อภ.ลงนามก่อสร้างโรงงานผลิตยา รังสิต ระยะ 2 ซึ่งเป็นโรงงานผลิตยาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ใช้งบประมาณ 5,400 ล้านบาท สามารถเพิ่มกำลังการผลิตยาน้ำ,ยาเม็ด ,ยาฉีด และครีมขี้ผึ้งได้ถึง 2 เท่าเพียงพอใช้ในประเทศ และคาดว่าสามารถส่งออกกลุ่มประเทศ CLMV
นพ.วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม พร้อมเภสัชกรหญิงมุกดาวรรณ ประกอบไวทยกิจ รองผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม ,นางญาใจ พัฒนาสุขวสันต์ กรรมการองค์การเภสัชกรรม และตัวแทนบริษัท เพาเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด(มหาชน) ลงนามข้อตกลงคุณธรรมและสัญญาจ้าง ในการเดินหน้าก่อสร้างโรงานผลิตยารังสิต ระยะที่2 โดยจะเริ่มดำเนินการส่งพื้นที่ 1ก.ค.62 และการก่อสร้างแล้วเสร็จ มิ.ย.65 ซึ่งการก่อสร้างจะใช้งบประมาณ 5,396 ล้านบาทพร้อมเครื่องจักรโดยจะเป็นโรงงานผลิตยาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ สามารถทดแทนกำลังการผลิตยาที่พระราม 6
นพ.วิฑูรย์ กล่าวต่อว่า การก่อสร้างครั้งนี้จะไม่ล่าช้าและซ้ำรอยเหมือนเช่นการก่อสร้างโรงงานวัคซีนไข้หวัดใหญ่แน่นอนโดยจะนำปัญหาการก่อสร้างในอดีตมาเป็นบทเรียน และคาดว่าการผลิตยาในโรงานยารังสิต ระยะ2 นี้จะก่อประโยชน์สูงสุด เนื่องจากมีกำลังการผลิตมากถึง 2 เท่า ทั้งการผลิตยาน้ำ ได้มากถึง 6,000 ล้านลิตร,ยาเม็ด 6,000 ล้านเม็ด ยาฉีดได้ 34.60 ล้านขวด และครีมขี้ผึ้ง 0.637ล้านกิโลกรัม ทำให้คาดการณ์ว่าจะสามารถผลิตเพื่อส่งออกในต่างประเทศได้ หลังจากที่ผ่านมาการผลิตยาของ อภ.ส่วนใหญ่เพียงในประเทศ และใช้ในภาครัฐ ร้อยละ 90
ส่วนการส่งออกยา คาดว่าอย่างน้อยหลังจากมีการเพิ่มกำลังการผลิตจะสามารถส่งออกต่างประเทศได้ร้อยละ 10 ในกลุ่มประเทศ CLMV จากเดิมมีรายได้จากการส่งออกจากต่างประเทศเฉลี่ยปีละ 100 ล้านบาท โดยกลุ่มยาต้านไวรัสเอดส์ จะมีการขยายส่งออกในประเทศไนจีเรียอีกด้วย .-สำนักข่าวไทย