กรุงเทพฯ 12 มิ.ย. – ข่าวดีรับ “สุริยะ” ว่าที่ รมว.พลังงานคนใหม่ ราคาแอลพีจีลดลง เริ่มมีเงินไหลเข้าในรอบหลายเดือน ด้าน สบนพ.ว่าจ้างสถาบันปิโตรเลียมศึกษานิยาม “วิกฤติพลังงาน” รองรับการใช้เงินกองทุนตามกฎหมายใหม่ รวมทั้งแผนดูแลเชื้อเพลิงชีวภาพในอนาคต
นายวีระพล จิรประดิษฐกุล ผู้อำนวยสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) หรือ สบพน. กล่าวว่า สถานการณ์ราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ขณะนี้ปรับลดลงเป็นผลดีต่อฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยล่าสุดราคาซีพี (ตะวันออกกลาง ) เดือนมิถุนายนอยู่ที่ 422.5 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน ลดลงจากเดือนพฤษภาคม 105 ดอลลาร์/ตัน และส่งผลให้เดือนนี้เงินกองทุนฯ บัญชีก๊าซหุงต้มมีเงินไหลเข้าประมาณ 29.4 ล้านบาท จากเดิมไหลออกมานานเป็นเวลานาน จนส่งผลให้วันที่ 9 มิถุนายน บัญชีก๊าซหุงต้มติดลบประมาณ 6,600 ล้านบาท บัญชีน้ำมันมีวงเงิน 41,435 ล้านบาท ส่งผลกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิ 34,826 ล้านบาท
“ราคาก๊าซหุงต้มที่ลดลง ทำให้การบริหารกองทุนฯ มีความคล่องตัวขึ้น ซึ่งรัฐมนตรีพลังงานคนใหม่ก็จะบริหารได้ง่ายขึ้นตามกรอบ พ.ร.บ.กองทุนน้ำมันฯ ที่เป็นกฎหมายใหม่ ซึ่งจะมีผลวันที่ 24 กันยายน 2562 ที่ ครม.ใหม่จะต้องออกกฤษฎีกายุบสถาบันฯ และจัดตั้งบอร์ดและสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาบริหารงานต่อ” นายวีระพล กล่าว
นายวีระพล กล่าวว่า ทางสถาบันฯ ได้ว่าจ้างสถาบันปิโตรเลียมศึกษาการทำแผนงานตาม พ.ร.บ.กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงใน 3 แผนงาน หลัก คือ 1.ความหมายของคำว่าวิกฤติพลังงานจะดูเรื่องใดเป็นสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นราคาน้ำมัน, เรื่องการขาดแคลนหรืออื่น ๆ เพราะจะเป็นหัวใจสำคัญที่จะใช้เงินกองทุนฯ เข้าไปดูแล ตามวัตถุประสงค์ของกฎหมายที่ระบุว่า “เพื่อรักษาเสถียรภาพระดับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศให้อยู่ ในระดับที่เหมาะสมในกรณีที่เกิดวิกฤตการณ์ด้านน้ำมันเชื้อเพลิง”
2.การวางยุทธศาสตร์การทำงานของสำนักงานกองทุนฯ ที่จัดตั้งขึ้น และ 3.แผนการลดการอุดหนุนเชื้อเพลิงชีวภาพตามมาตรา 55 ที่ให้อุดหนุนต่อไปได้เป็นระยะเวลา 3 ปี และถ้าจำเป็นสามารถขอต่ออายุการชดเชยได้อีก 2 ครั้ง (ครั้งละ 2 ปี ) จากนั้นจะไม่มีการชดเชยอีก
นายวีระพล กล่าวว่า ทั้ง 3 แผนงานดังกล่าวจะต้องทำให้เสร็จภายใน 120 วันหลังกฎหมายมีผลบังคับใช้ คือ ก่อนวันที่ 25 มกราคม 2563 อย่างไรก็ตาม กฎหมายระบุว่าหากมีเหตุจำเป็นก็ต้องสามารถต่ออายุเรื่องแผนงานดังกล่าวได้อีก 120 วัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่ารายชื่อว่าที่ รมว.พลังงานคนใหม่ คือ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ จากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ซึ่งในอดีตเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมในสมัยที่ยังไม่จัดตั้งกระทรวงพลังงาน จึงกำกับงาน บมจ.ปตท.และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) มาก่อน โดยงานสำคัญที่ต้องเร่งตัดสินใจ คือ เรื่องการซื้อก๊าซแอลเอ็นจีของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ,นโยบายกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงภายใต้กฎหมายใหม่ที่จะต้องวางแนวทางอุดหนุนเชื้อเพลิงชีวภาพอย่างไร, ขณะที่โครงการลงทุนขนาดใหญ่ คือ ในส่วนที่ ปตท.ร่วมทุนกับกลุ่มกัลฟ์ ในโครงการลงทุนโครงการพัฒนาท่าเรือมาบตาพุดระยะที่ 3 และโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3.- สำนักข่าวไทย