กรุงเทพฯ 18 พ.ค.-รัฐมนตรีเกษตรแจงไทย ลดส่งออกยางตามความสมัครใจ ผู้ส่งออกขานรับ มั่นใจเป็นกลไกรักษาเสถียรภาพราคา
นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าวว่า มาตรการลดการส่งออกยางพาราของไทยซึ่งจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 20 พ.ค.ถึง 19 ก.ย. 62 ตามที่บริษัทร่วมทุนยางระหว่างประเทศ (IRCo) โดยอินโดนีเซียขอความความมือมานั้น ปีนี้ไทยจะใช้มาตรการเชิญชวนการลดการส่งออกยางพาราตามความสมัครใจและไม่ได้นำ พ.ร.บ. ควบคุมยางพารา พ.ศ. 2542 มาบังคับเพื่อให้สอดคล้องกับหลักการค้าเสรี ล่าสุดการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ได้ประชุมมาตรการจำกัดการส่งออกยางพารา (AETS) ครั้งที่ 6 ร่วมกับผู้ส่งออกยาง 197 ราย โดยชี้แจงว่า มาตรการ AETS มาจากการประชุมไตรภาคียางระหว่างประเทศ ซึ่งหารือเรื่องการลดส่งออกยางพารารวม 240,000 ตัน ซึ่งอินโดนีเซียลดส่งออก 98,160 ตัน มาเลเซียลดส่งออก 15,000 ตันที่เริ่มดำเนินการไปก่อนแล้วตั้งแต่ 1 เม.ย.ถึง 31 ก.ค.62 ส่วนไทย จะเชิญชวนผู้ประกอบการให้ลดการส่งออกประมาณ 126,240 ตัน ลดการส่งออก ได้แก่ ยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง ยางผสม น้ำยางข้น และยางคอมปาวด์ ทั้งนี้มอบหมายให้สำนักการเกษตรต่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงฯ รวมทั้ง กยท.และสำนักงานทูตเกษตรทุกแห่งชี้แจงรายละเอียดของโครงการดังกล่าวเป็นภาษาอังกฤษและภาษาท้องถิ่นในต่างประเทศเพื่อให้ภาคเอกชนในประเทศต่าง ๆ รวมทั้งในตลาดซื้อขายยางพาราล่วงหน้าในต่างประเทศทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงวิธีการเชิญชวนลดการส่งออกด้วย
กยท. รายงานสถานการณ์ราคายางวันที่ 17 พ.ค.62 โดยราคายางแผ่นรมควันอยู่ที่ 53.25 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนราคาประมูลที่ตลาดกลางยางพารา ยางแผ่นดิบไม่มียางเข้าตลาด สำหรับราคายางแผ่นรมควัน เฉลี่ยอยู่ที่ 53.40 บาทต่อกิโลกรัม ราคายางปรับตัวตามตลาดล่วงหน้าต่างประเทศและผู้ส่งออกยางธรรมชาติของไทย มีความต้องการยางเพิ่มขึ้นเนื่องจากยางเข้าตลาดน้อยและผู้ประกอบการมีปริมาณยางคงคลังอยู่ในระดับต่ำ
“ราคายางพาราในประเทศปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับขณะนี้ประเทศไทยมีนโยบายให้ภาครัฐใช้ยางพารามาเป็นส่วนผสมในการก่อสร้างทำถนนและเส้นทางคมนาคมต่าง ๆ ทั่วประเทศ จึงคาดการณ์ได้ว่าตั้งแต่ปีนี้ เป็นต้นไป ราคายางพาราจะมีเสถียรภาพและมีแนวโน้มสูงขึ้นอีก”นายกฤษฎากล่าว
นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท รองผู้ว่ากยท. กล่าวว่า ปริมาณยางพาราที่ไทยจะลดการส่งออกใน 4 เดือน รวม 126,260 ตัน คำนวณจากผลผลิตยางในปี 61 ตามสถิติของ สมาคมประเทศผู้ผลิตยางธรรมชาติ (ANRPC) จึงแบ่งสัดส่วนแก่ผู้ส่งออกยาง 64 รายที่ส่งออกมากกว่า 3,000 ตันขึ้นไป จะลดปริมาณการส่งออกลงร้อยละ 9.76 แต่หากผู้ส่งออกรายใดได้ใช้สิทธิ์ในเดือนใดเดือนหนึ่งน้อยกว่าปริมาณที่ได้รับจัดสรรเฉลี่ยต่อเดือนสามารถนำส่วนที่เหลือไปใช้สิทธิ์ในเดือนอื่นได้ให้ครบตามโควต้า
นายณกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากข้อมูลการส่งออกยางที่รวบรวมโดยกรมศุลกากร ในปี61 มีปริมาณรวม 4,300,547 ตัน โดยยาง 5 ชนิดที่ควบคุมมีปริมาณ 4,213,773 ตัน จากผู้ประกอบการทั้งหมด 190 ราย แต่รายที่ส่งออกตั้งแต่ 3,000 ตันขึ้นไปมี 64 ราย สำหรับผู้ส่งออกยางที่ไม่มีประวัติการส่งออกตามข้อมูลของกรมศุลกากรระหว่างวันที่ 20 พ.ค.ถึง19 ก.ย.61 ให้ใช้จำนวนสถิติล่าสุดหรือทำแผนการส่งออกในช่วงเวลาดังกล่าวมาให้พิจารณา ทั้งนี้ผลจากการหารือ ผู้ส่งออกยินดีร่วมมือเพื่อจะให้เกิดผลในการรักษาเสถียรภาพราคายางพารา ที่จะประกอบกับมาตรการส่งเสริมการใช้ยางภายในประเทศของกระทรวงเกษตรฯ ซึ่งจะทำให้ราคายางพาราปรับตัวสูงขึ้น.-สำนักข่าวไทย