กรุงเทพฯ 9 เม.ย. – นักลงทุนกังวลเสถียรภาพการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ฉุดดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนลดลงร้อยละ 17.72 สภาธุรกิจตลาดทุนไทยหวังรัฐมนตรีใหม่มีความน่าเชือถือ มีความสามารถดึงความเชื่อมั่นนักลงทุน
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน เดือนเมษายน 2562 ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (มิถุนายน 2562) ปรับลดลงร้อยละ 17.72 จากระดับ 130.68 มาอยู่ที่ระดับ 107.53 ดัชนีปรับตัวพลิกกลับมาอยู่ในเกณฑ์ทรงตัว (Neutral) จากเกณฑ์ร้อนแรงในเดือนก่อนหน้า โดยดัชนีทุกกลุ่มนักลงทุนปรับตัวลดลงทั้งหมด โดยเฉพาะรายบุคคลลดลงมากที่สุด จากระดับ 123.55 เหลือระดับ 93.79 ซึ่งเป็นกลุ่มที่อ่อนไหวและเก็งกำไรระยะสั้น นักลงทุนกังวลเสถียรภาพการจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังไม่สามารถจัดตั้งได้ ต้องรอการประกาศผลอย่างเป็นทางการก่อน จึงเป็นปัจจัยกดดันการลงทุนต่อไป แต่คาดว่าจะเป็นเพียงภาวะชั่วคราว หากสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้จะช่วยให้ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนกลับมาดีขึ้น โดยคาดหวังโฉมหน้ารัฐบาลใหม่ต้องดูดี รัฐมนตรีต้องมีความน่าเชื่อถือ แม้ว่าคะแนนสนับสนุนจะไม่ถึง 300 เสียงก็ตาม เพราะปีนี้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว การส่งออกก็ขยายตัวลดลง ดังนั้น โจทย์ที่ท้าทายรัฐบาลชุดใหม่ที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายตัวร้อยละ 3.8-4 ต้องมาจากการบริโภคในประเทศและการลงทุน ซึ่งหากรัฐบาลใหม่จัดตั้งสำเร็จได้เร็วจะช่วยสร้างความเชื่อมั่น ทำให้เงินทุนต่างชาติไหลกลับมาลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้ จากปัจจุบันต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยเพียงประเทศเดียวในภูมิภาคเอเชีย โดยตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันต่างชาติขายหุ้นไทย 407 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขายสุทธิตลาดตราสารหนี้ 486 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์เอเซียพลัส กล่าวว่า นักลงทุนยังไม่มั่นใจสถานการณ์การเมือง ทำให้เงินทุนต่างชาติยังไม่ไหลเข้าไทย ซึ่งคงต้องรอจนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ที่ชัดเจน ขณะที่เป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปีนี้อยู่ที่ 1,705 จุด ภายใต้สมมติฐานรัฐบาลชุดใหม่มีคะแนนเสียงสนับสนุน 250-260 เสียง
ส่วนแนวโน้มผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 1/2562 คาดว่ารายได้น่าจะอยู่ที่ 250,000 – 260,000 ล้านบาท ซึ่งหากเทียบกับไตรมาส 4/2561 ที่มีรายได้รวม 156,000 ล้านบาท เติบโตขึ้น แต่หากเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนรายได้รวมไตรมาส 1 ปี 2562 ลดลง เพราะไตรมาส 1 ปีที่ผ่านมา ราคาน้ำมันและราคาปิโตรเลียมสูงกว่า อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 1 ปีนี้กลุ่มพลังงานมีกำไรจากสตอกน้ำมัน ( Stock Gain) เพราะราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นจากประมาณ 50 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 60 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งกลุ่มพลังงานมีสัดส่วนถึงร้อยละ 30 ของตลาด และกลุ่มแบงก์อีกร้อยละ 20 ของตลาดหลักทรัพย์ไทย.-สำนักข่าวไทย