นนทบุรี 7 เม.ย. – พาณิชย์เผยเอฟทีเอดันการค้าไทย-ชิลี เพิ่มขึ้นร้อยละ 37.6 หลังมีผลบังคับตั้งแต่ปี 58 พร้อมกระตุ้นผู้ประกอบการเร่งพัฒนาศักยภาพ แสวงหาโอกาส และประโยชน์จากข้อตกลง และเตรียมปรับตัวรองรับการเปิดเสรีเพิ่มปี 63 และ 66
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ได้ติดตามผลการเปิดเสรีทางการค้าภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ไทย-ชิลี พบว่า ทำให้มูลค่าการค้าระหว่างไทยกับชิลีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดการค้า 2 ฝ่ายมีมูลค่าสูงถึง 1,231 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 37.6 เมื่อเทียบกับมูลค่า 895 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2558 ที่ความตกลงการค้าเสรีไทย-ชิลี เริ่มมีผลใช้บังคับ
นางอรมน กล่าวว่า ภายใต้เอฟทีเอ ชิลีไม่เก็บภาษีนำเข้าสินค้าส่วนใหญ่จากไทยคิดเป็นร้อยละ 90 ของรายการสินค้าทั้งหมด ยังคงเหลือกลุ่มสินค้าที่จะทยอยลดภาษีให้เหลือร้อยละ 0 ภายในปี 2563 เช่น ปูนซีเมนต์ เคมีภัณฑ์ โพลิเมอร์ พลาสติก ยางล้อ หมึกพิมพ์ รถบรรทุก ผ้าทอ เสื้อผ้าสำเร็จรูป กระจก เซรามิก ชิ้นส่วนรถยนต์ เป็นต้น ขณะที่ไทยจะลดภาษีเหลือร้อยละ 0 สินค้าเฟอร์นิเจอร์ สุขภัณฑ์ เครื่องครัว สิ่งพิมพ์ สิ่งทอ เวชภัณฑ์ อุปกรณ์การแพทย์ ของเล่น เครื่องเขียน และปี 2566 จะลดภาษีเหลือร้อยละ 0 ให้กับสินค้ากลุ่มสุดท้าย โดยชิลีจะลดภาษี เช่น เนื้อสัตว์ปีก ข้าว น้ำตาล รถโดยสาร รถบรรทุก ยางรถยนต์ สิ่งทอ เป็นต้น ขณะที่ไทยจะลดภาษี เช่น ประมง เนื้อสัตว์ เป็นต้น
ทั้งนี้ ในปี 2561 การค้าระหว่างไทยกับชิลีมีมูลค่า 1,231.3 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวจากปีที่ผ่านมาร้อยละ 9.6 แบ่งเป็นการส่งออก 779.2 ล้านเหรียญสหรัฐ และนำเข้า 452.1 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งในมูลค่าการส่งออกไปชิลีมีใช้สิทธิ์ส่งออกภายใต้เอฟทีเอ ไทย-ชิลี สูงถึง 744.6 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 99.4 ของมูลค่าการส่งออก ขณะที่นำเข้าโดยใช้สิทธิ์ 47.5 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 10.5 ของมูลค่าการนำเข้ารวม นับว่าผู้ประกอบการช้สิทธิ์ภายใต้เอฟทีเอไทย – ชิลี ส่งออกสูงเป็นอันดับ 1 เมื่อเทียบกับเอฟทีเออื่น ๆ ของไทย โดยสินค้าส่งออกของไทยที่ใช้สิทธิ์เอฟทีเอไทย-ชิลีสูงเป็นอันดับต้น เช่น รถบรรทุกขนส่งไม่เกิน 5 ตัน รถยนต์ความจุกระบอกสูบ 1,000-1,500 ลบ.ซม. ปลาทูน่า ปลาสคิปแจ็คและปลาโบนิโตชนิดซาร์ดา (กระป๋อง) และเครื่องซักผ้า เป็นต้น ขณะที่สินค้านำเข้าของไทยที่มีการใช้สิทธิ์เอฟทีเอไทย-ชิลีสูงเป็นอันดับต้น เช่น องุ่นสดหรือแห้ง ผลไม้สด (แครนเบอร์รี่,บลูเบอร์รี่) สังกะสีออกไซด์และสังกะสีเพอร์ออกไซด์ เมล็ดธัญพืช และผลไม้และลูกนัดอื่น ๆ เป็นต้น
นางอรมน กล่าวเพิ่มเติมว่า ชิลีเป็นตลาดใหม่ที่มีศักยภาพอีกแห่งหนึ่งในภูมิภาคอเมริกาใต้ที่ไทยมีโอกาสขยายการค้าการลงทุนได้อีกมาก โดยชิลีมีนโยบายการค้าที่เปิดกว้างประกอบกับทำความตกลงการค้าเสรีกับประเทศต่าง ๆ รวม 26 ฉบับ กับ 64 ประเทศ ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยที่สนใจจะทำธุรกิจกับชิลี เพื่อขยายตลาดส่งออกและร่วมเป็นห่วงโซ่อุปทานการค้าของชิลี จึงควรเร่งพัฒนาศักยภาพพร้อมกับศึกษาข้อมูลตลาดและพฤติกรรมการอุปโภคบริโภคสินค้าของผู้บริโภคชิลี เพื่อสามารถเข้าถึงความต้องการของผู้บริโภค รวมทั้งควรแสวงหาโอกาสและประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี และควรเตรียมปรับตัวสำหรับการเปิดเสรีเพิ่มเติมในปี 2563 และปี 2566.-สำนักข่าวไทย