สำนักข่าวไทย 22 มี.ค.-รอง ผอ.สพม.1 เผยความคืบหน้าสืบข้อท็จจริงปมรถตู้ รร.เตรียมอุดม ทราบที่มาที่ไปของทั้ง 2 คันแล้ว พร้อมศึกษาข้อกฎหมายเอาผิดย้อนหลัง ด้าน รมว.ศธ.ย้ำเอาผิดได้แน่นอน
นายธนารัชต์ สมคเณ รองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยม ศึกษา เขต 1(สพม.1)กรุงเทพมหานคร ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวไทย ถึงความคืบหน้าการตั้งคณะกรรมการสือข้อเท็จจริงกรณีมีผู้บริจาครถตู้ 2 คัน ให้โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาและจอดทิ้งไว้ในโรงรถเป็นเวลา 2 ปี แต่ทางโรงเรียนไม่กล้านำไปใช้ เพราะไม่มีทะเบียนและมีการตั้งข้อสังเกตว่าอาจ จะเป็นการบริจาคเพื่อแลกที่นั่งเรียน ว่า ตอนนี้สืบทราบข้อมูลเพิ่มเติมรู้ที่มาที่ไปของรถทั้ง 2 คันแล้ว ซึ่งทั้ง 2 คันมีการตกลงกันในช่วงที่มีการรับนักเรียน
รอง ผอ.สพม.1กล่าวต่อว่า คันแรกมีผู้ซื้อรายเดียว ทราบเบื้องต้นว่าที่มาที่ไปไม่ได้มาจากในประเทศ แต่รอข้อมูลที่ชัดเจนอีกครั้ง ส่วนอีกคันมีผู้ซื้อหลายคนรวมเงินกัน โดยใช้ชื่อของบุคลากรในโรงเรียนคนหนึ่ง และปรากฎภาพถ่ายที่ขณะมอบเงินระหว่างสมาคมผู้ปกครองและผอ.โรงเรียนซึ่งคันนี้เป็นรถไม่มีทะเบียนที่มีคนขับรถตู้มาจอดและทิ้งกุญแจไว้ที่ รปภ.แต่มาจากในประเทศ ซึ่งทั้ง 2 คันไม่มีใบซื้อขาย ตนเตรียมประสานไปยังกรมการขนส่งทางบก เพื่อสืบทราบที่มาที่ไปของรถต่อไป
ขณะเดียวกันได้มอบให้นิติกรศึกษาข้อกฎหมายว่าสามารถเอาผิดย้อนหลังได้หรือไม่ และจะได้ตั้งกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงอย่างเป็นทางการอีกครั้ง
ด้าน นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)กล่าวว่า ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ยังไม่รายงานผลการสืบข้อเท็จจริงมาให้ทราบ ซึ่งขอให้ทุกฝ่ายดำเนินงานไปตามขั้นตอน และเรื่องนี้ไม่อยากไปล้วง หรือไม่เข้าไปเจาะจงเฉพาะโรงเรียนใดโรงเรียนหนึ่ง เพราะอาจจะดูไม่ดี อีกทั้งช่วงนี้เป็นช่วงหาเสียงและใกล้เลือกตั้ง ตนไม่อยากให้ประเด็นนี้กลายเป็นประเด็นทางการเมืองไป
ส่วนการสอบข้อเท็จจริงอดีตผู้อำนวยการโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษานั้น รมว.ศึกษาฯ กล่าวว่า ตนไม่ทราบรายละเอียดว่าเป็นการสอบข้อเท็จจริง ในประเด็นรถตู้หรือประเด็นทุจริตอื่นๆ แค่ทราบจากการรายงานเป็นระยะว่าอดีตผู้อำนวยการเตรียมอุดมนั้น มีปัญหา แต่ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องใด อย่างไรก็ตามเรื่องดังกล่าว สพฐ.และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต1 กรุงเทพมหานคร สามารถดำเนินการตามตั้งคณะกรรมการสืบข้อเท็จจริงได้ตามขั้นตอน ไม่จำเป็นต้องรายงานให้ตนทราบ
ส่วนประเด็นรถตู้หากพบว่ามีมูลจริงจะสามารถเอาผิดได้กับผู้อำนวยการคนก่อนที่เกษียณอายุราชการไปแล้วได้หรือไม่นั้น นพ.ธีระเกียรติ กล่าวว่า แม้อดีตผู้อำนวยการจะเกษียณอายุราชการไปแล้ว จะโดนโทษทางวินัยแน่นอน ไม่ต้องห่วง เพราะตามมติคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบการกำหนดมาตรฐานวินัยข้าราชการกับผู้ที่พ้นข้าราชการ ซึ่งหมายถึงการเอาผิดในสมัยที่ยังรับราชการอยู่ แต่พ้นราชการ ลาออกหรือเกษียณอายุราชการแล้วไม่สามารถเอาผิดได้ โดยมีมาตรฐาน 2 หลักเกณฑ์ คือ 1.ถ้ามีการดำเนินการกระทำผิดสมัยรับราชการ แล้วคณะกรรมการป้องกันปราบ ปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)หรือคณะกรรมการป้องกันและปราบ ปรามการทุจริตในภาครัฐ(ป.ป.ท.)ชี้มูลความผิดทางวินัยและลงโทษตามที่ชี้มูล โดยจะไม่นำกฎหมายที่ข้าราชการผู้นั้นสังกัดอยู่มาบังคับใช้
และ 2.หากเป็นเรื่องที่หน่วยงานต้นสังกัดตรวจพบว่าข้าราชการในสังกัดทำความผิดในสมัยที่ยังรับราชการ กำหนดวิธีการปฏิบัติ คือ1.ให้สอบสวนภายใน 1 ปีนับตั้งแต่พ้นราชการ นอกจากนี้การสั่งลงโทษ ต้องสั่งลงโทษภายใน 3 ปีนับตั้งแต่พ้นราชการ ดังนั้นไม่ต้องห่วง ยิ่งเรื่องแป๊ะเจี๊ยะ ตนทราบว่า ป.ป.ช.นั้นเอาจริงเอาจังเพราะรู้ว่าทำเรื่องไหนแล้วประชาชนสนใจ.-สำนักข่าวไทย