อสมท 20 มี.ค.-บมจ.อสมท จัด Public Hearing ครั้งที่ 2 เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนและชุมชนที่อยู่โดยรอบที่ดินทั้งสองแปลง พร้อมนำเสนอความก้าวหน้าการศึกษาและรูปแบบที่เป็นไปได้ของการพัฒนาพื้นที่จากการเปิดรับฟังความคิดเห็นจากส่วนราชการในครั้งที่ 1 โดยยืนยันจะพัฒนาที่ดินทั้งสองแปลงให้เกิดประโยชน์สูงสุด
นายเขมทัตต์ พลเดช กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงความคืบหน้าของโครงการศึกษาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการพัฒนาที่ดิน 50 ไร่ และที่ดินที่ทำการของ บมจ.อสมท เนื้อที่ประมาณ 20 ไร่ ว่า “การพัฒนาที่ดินทั้งสองแปลงดำเนินการตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนร่วมลงทุน พ.ศ. 2556 (PPP) ซึ่ง บมจ.อสมท ได้ว่าจ้างให้สำนักงานศูนย์วิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นผู้ดำเนินการศึกษาความเหมาะสม และความเป็นไปได้ในการพัฒนาที่ดินทั้งสองแปลง และขณะนี้ได้ดำเนินการมาถึงขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็นครั้งที่ 2 (Public Hearing ครั้งที่ 2) เพื่อนำเสนอความก้าวหน้าของการศึกษาและรูปแบบ ที่เป็นไปได้ของการพัฒนาพื้นที่ พร้อมทั้งให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ประชาชนและชุมชนที่อยู่โดยรอบที่ดิน ทั้งสองแปลง รวมถึงนักลงทุนได้แสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแนวทางเลือกในการลงทุนและการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์”
นายเขมทัตต์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ที่ผ่านมา บมจ. อสมท ได้ดำเนินการทดสอบความสนใจของนักลงทุนชั้นนำที่มีต่อโครงการฯ (Market Sounding) เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ และเปิดรับฟังความคิดเห็นจากหัวหน้าส่วนราชการ บุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในแต่ละธุรกิจ (Public Hearing ครั้งที่ 1) ถึงความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการพัฒนาที่ดินทั้งสองแปลงเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา โดยมีผู้สนใจเข้าร่วมประชุมเป็นจำนวนมาก และที่ประชุมได้ให้ข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาที่ดินทั้งสองแปลง ซึ่งขณะนี้พระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ ซึ่งจะมีผล ทำให้การดำเนินโครงการดังกล่าวของ บมจ. อสมท เป็นไปอย่างรวดเร็วและคล่องตัวยิ่งขึ้น
โครงการศึกษาความเหมาะสมฯ ของที่ดินทั้งสองแปลงจะช่วยให้ บมจ. อสมท สามารถประเมินทางเลือกและรูปแบบในการบริหารจัดการโครงการที่เหมาะสม รวมถึงความเป็นไปได้ในทางตลาด การเงิน โครงสร้างการลงทุน การจัดหาแหล่งเงินทุนที่เหมาะสมและสามารถพัฒนาธุรกิจ เพื่อแข่งขันในตลาดได้อย่างยั่งยืน ซึ่งการพัฒนาที่ดินทั้งสองแปลงจะต้องเกิดประโยชน์สูงสุดแก่องค์กรและประเทศ โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าในเชิงเศรษฐกิจและสังคมตามกรอบนโยบายแผนยุทธศาสตร์ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ”นายเขมทัตต์ กล่าว.-สำนักข่าวไทย