กรุงเทพฯ 31 ส.ค. โตโยต้าย้ำข้อเสนอ รัฐบาล พัฒนารถยนต์ไฮบริด หรือ ปลั๊ก-อินไฮบริด เป็นโปรรถยนต์โปรดักส์แชมเปี้ยนตัวใหม่ ก่อนสูญเสียตลาดส่งออกเพราะทั่วโลกใช้ปริมาณการนปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากำหนดสัดส่วนส่งออก มาสด้าได้ทุ่มทุนกว่า 22.1 พันล้านเยน (หรือประมาณ 7,200 ล้านบาท) เพิ่มกำลังการผลิตในไทย
นายนินนาท ไชยธีรภิญโญ รองประธานกรรมการ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด
กล่าวว่า ทั่วโลกให้ความสำตคัญกับการลดภาวะโลกร้อน และขณะนี้มี 12 ประเทศใช้เรื่องข้อกำหนดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มากำหนดเป็นโควต้าการรับซื้อรถยนต์ ซึ่งขณะนี้มีข้อบังคับใช้แล้ว 12 ประเทศ และจะเพิ่มเป็น 30 ประเทศในปี 2563 โดยจะกระทบต่อการส่งออกตลาดรถยนต์ของประเทศไทย โดยโตโยต้าจะกระทบส่งออกลดลง 1 หมื่นคันในปี2561 และเพิ่มเป็น 3 หมื่นคันในปี 2563 ซึ่งทางบริษัทได้เสนอว่า รัฐบาลไทยควรต้องปรับตัวรับมือเรื่องนี้ โดยส่งเสริมให้รถพัฒนารถยนต์ไฮบริด หรือ ปลั๊ก-อินไฮบริด เป็นโปรรถยนต์โปรดักส์แชมเปี้ยนตัวใหม่ ด้วยการลดภาษีสนับสนุน เป็นเวลา 5 ปี หรือ ให้มีกำลังผลิต 1 แสนคัน เพื่อส่งเสริมให้เกิดขึ้น และทุกรายก็ได้ประโยชน์เช่นกัน
“ การส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้าในไทยยังเร็วเกินไป เพราะรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ฟิวเซลล์ (Fuel Cell)ยังมีข้อจำกัดในการพัฒนา ทั้งรถยนต์และสถานีเชื้อเพลิง ในญี่ปุ่นมีสัดส่วนเพียง ร้อยละ 0.3 หรือ 1.1 หมื่นคันเท่านั้น ดังนั้น รัฐบาลจึงควรพัฒนาระบบไฮบริด จากนั้นขยับไปสู่รถยนต์แบบปลั๊ก-อินไฮบริด เพื่อลดการปลดปล่อยCO2 ก่อนจะสูญเสียตลาดรถยนต์มากกว่านี้ “นายนินนาท กล่าว
ด้านนายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานมูลนิธิพลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า รัฐบาลควนจะกำนดนโยบายที่เหมะสมในการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยี ซึ่งประโยชน์จากการส่งเสริมรถยนต์นั่งไฟฟ้า หรืออีวี จะลดลงมาก หากการผลิตไฟฟ้ายังมาจากเชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นหลัก หากส่งเสริมจึงควรดำเนินการให้สอดคล้องกับการพัฒนาพลังงานหมุนเวียน การให้แรงจูงใจทางการเงินหรือภาษี ควรมีความเท่าเทียมกันระหว่างเทคโนโลยีและควรให้ครบวงจนทั้งภาษีระยนต์ ภาษีน้ำมัน และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานรองรับอีวี เพราะหากไฟฟ้ายังมาจากฟอสซิล ก็จะกระทบต่อระบบทั้งหมด เช่น หากรถยนต์นั่ง รถตู้และปิกอัพ 13 ล้านคันในไทยเปลี่ยนเป็นไฟฟ้าทั้งหมด การใช้ไฟฟ้าของประเทศจะเพิ่มขึ้นมากร้อยละ 50
ด้าน มาสด้า มอเตอร์ คอปอร์เรชั่น ประเทศญี่ปุ่นประกาศว่าจะเพิ่มปริมาณกำลังการผลิตเครื่องยนต์ต่อปีของโรงงานประกอบเครื่องยนต์ที่โรงงาน มาสด้า พาวเวอร์เทรน เมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด หรือ MPMT ที่ตั้งอยู่ใน จ.ชลบุรี โดยจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 122,000 เครื่อง ภายในครึ่งปีแรกของปี 2561 นอกจากนี้ยังได้ประกาศแผนลงทุนเพื่อสร้างโรงงานผลิตชิ้นส่วนเครื่องยนต์ใหม่โดยเครื่องจักรที่มีความแม่นยำสูง ซึ่งจะมีกำลังการผลิตเทียบเท่ากับกำลังการผลิตของโรงงานประกอบเครื่องยนต์ในปัจจุบัน
สำหรับกำลังการผลิตต่อปีของโรงงานประกอบเครื่องยนต์ที่ MPMT ซึ่งเริ่มสายการผลิตอย่างเป็นทางการมาตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2558 มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 30,000 หน่วยต่อปี โดยโรงงานแห่งนี้ประกอบเครื่องยนต์สกายแอคทีฟคลีนดีเซล ขนาด 1.5 ลิตร และเครื่องยนต์สกายแอคทีฟเบนซิน ขนาด 1.3 ลิตร เพื่อป้อนให้กับโรงงาน ออโต้อัลลายแอนซ์ (ประเทศไทย) หรือ เอเอที สำหรับทำการผลิตในรถยนต์มาสด้า2
มาสด้าได้ทุ่มทุนกว่า 22.1 พันล้านเยน (หรือประมาณ 7,200 ล้านบาท) ในการเพิ่มกำลังการผลิตของโรงงานประกอบเครื่องยนต์เป็น 122,000 เครื่องต่อปี โดยทางมาสด้าจะก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่สำหรับการขึ้นรูปผลิตชิ้นส่วนเครื่องยนต์ด้วย เพื่อขยายสายการผลิตให้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น อันประกอบด้วย โครงสร้างตัวถัง เครื่องยนต์ และระบบส่งกำลัง โดยจะเพิ่มสายการผลิตเครื่องยนต์เบนซินสกายแอคทีฟ ขนาด 2.0 ลิตร เพื่อทำการส่งออกเครื่องยนต์ดังกล่าวไปยังฐานการผลิตในกลุ่มประเทศอาเซียน อันได้แก่ มาเลเซีย และเวียดนาม -สำนักข่าวไทย