มหาสารคาม 6 ก.พ.-อดีตแม่ค้าเร่ใน กทม. ชีวิตต้องตื่นเช้านอนดึก แทบไม่มีเวลาพักผ่อน ตัดสินใจกลับบ้านเกิดมหาสารคาม ปลูกองุ่น เน้นวิธีธรรมชาติ ใช้น้ำบาดาล ส่งผลรสชาติองุ่นหวานกรอบอร่อยต่างจากที่อื่นที่สำคัญ ขายได้กิโลกรัมละ 150 บาท แต่ละปีมีรายได้กว่า 200,000 บาท ใต้ค้างองุ่นยังปลูกผัก สร้างรายได้ทุกวัน วันละ 1,000-2,000 บาท
นางทองม้วน วงศาไฮ เจ้าของสวนองุ่นแคทลียา บ้านหนองทุ่ม ต.หนองทุ่ม อ.วาปีปทุม จ.มหาสารคาม อดีตแม่ค้าที่เร่ขายสินค้าตามสถานที่ต่างๆ แถบกรุงเทพฯ แต่ละวันต้องตื่นเช้านอนดึก เพื่อออกไปทำมาค้าขาย แทบไม่มีเวลาพักผ่อน จึงคิดที่จะกลับบ้านเกิดที่ อ.วาปีปทุม จ.มหาสารคาม ก่อนเดินทางกลับบ้านได้มีโอกาสไปศึกษาเรียนรู้การปลูกองุ่นและสนใจที่จะปลูกองุ่น เริ่มแรกได้ซื้อพันธุ์มา 2 ต้น ในราคาต้นละ 290 บาท นำมาปลูกไว้ที่หน้าบ้าน พบว่าองุ่นเจริญเติบโตดี ดูแลรักษาก็ไม่ยุ่งยาก และเก็บผลผลิตได้ 25 กิโลกรัม จึงนับเป็นแรงบันดาลใจที่จะผันชีวิตจากอาชีพแม่ค้าหันมาปลูกองุ่นที่บ้านเกิด ซึ่งมีที่ดินอยู่ประมาณ 1 ไร่เศษ จำนวน 400 ต้น เน้นการปลูกตามวิถีธรรมชาติ ใช้โดโลไมท์ช่วยปรับปรุงดิน และปุ๋ยคอกบำรุงต้นให้เจริญงอกงาม ส่วนปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 ใช้เพียงส่วนน้อย เพื่อกระตุ้นรากองุ่นในระยะแรกเท่านั้น
ปีนี้การปลูกองุ่นเริ่มเข้าสู่ปีที่ 3 ต้นองุ่นยังให้ผลผลิตเป็นที่น่าพอใจและเป็นที่สนใจของลูกค้าที่ได้เดินทางมาเที่ยวที่สวน พร้อมถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึก และถือโอกาสสั่งจองผลองุ่นไว้ล่วงหน้า เนื่องจากน้ำที่ใช้เป็นน้ำบาดาลหรือน้ำใต้ดิน เป็นน้ำกร่อย ส่งผลต่อรสชาติองุ่นมีความหวานกรอบอร่อยแตกต่างจากที่อื่นที่สำคัญ องุ่นที่นี่จะไม่ใช้สารเคมี ผลผลิตองุ่นที่สวนจะขายอยู่ที่กิโลกรัมละ 150 บาททุกรุ่น แต่ละปีมีรายได้กว่า 200,000 บาท การขายเน้นการสร้างความสุขให้ลูกค้า โดยให้นักท่องเที่ยวเข้าชมแบบครอบครัว สามารถเลือกซื้อองุ่นแบบชี้พวงและตัดไปชั่งน้ำหนักได้เลย และเปิดโอกาสให้ลูกค้าที่สั่งจององุ่นไว้ล่วงหน้าก่อนเป็นลำดับแรก ผลผลิตองุ่นที่ออกแต่ละรุ่น 2-3 รุ่น/ปี แทบไม่พอขาย ส่วนใหญ่จะมีลูกค้าสั่งจองผลผลิตไว้ทั้งหมด แม้ราคาจะสูง แต่ลูกค้าจะติดใจในรสชาติ และมั่นใจในความปลอดภัยจากสารเคมี
นอกจากรายได้จากการขายผลองุ่นแล้ว ที่สวนยังมีรายได้จากการขายกิ่งพันธุ์ โดยกิ่งพันธุ์ที่ได้จากการตอนและติดตากิ่งพันธุ์ดี ราคากิ่งละ 80 บาท ส่วนกิ่งพันธุ์ที่ติดตากับต้นตอที่เจริญเติบโตแล้วจะอยู่ที่ต้นละ 300 บาท และที่สวนองุ่นแคทลียา ใต้ค้างองุ่นยังปลูกผัก ซึ่งมีข้อดีคือจะไม่มีหญ้าขึ้นรบกวนในแปลงผัก โดยยึดหลักเลือกชนิดผักที่ปลูกให้ตลาดนำการผลิต ในปีนี้เลือกปลูกผักกวางตุ้ง เนื่องจากตลาดต้องการผลผลิตมาก เมื่อลูกค้ามาเที่ยวที่สวนก็จะให้เลือกเก็บผักเอง ก่อนนำไปคิดราคา ส่วนผลผลิตที่เหลือจะมีแม่ค้ามารับซื้อถึงสวน ทำให้มีรายได้ทุกวัน วันละ 1,000-2,000 บาท ทำให้ชีวิตมีความสุขและได้อยู่บ้านกับครอบครัว.-สำนักข่าวไทย