15 ม.ค. – หลังจากทีมฟุตบอลไทยผ่านเข้ารอบ 2 ศึกเอเชียน คัพ ได้สำเร็จ ไปดูกันว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทีมช้างศึกก้าวมาถึงจุดนี้เกิดจากอะไร
นี่ความรู้สึกของสองซูเปอร์สตาร์ทีมฟุตบอลทีมชาติไทย หลังจบการแข่งขันฟุตบอลเอเชียนคัพ 2019 รอบแรก นัดสุดท้าย ที่ทีมช้างศึกเสมอสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เจ้าภาพ 1-1 และสามารถผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายได้เป็นครั้งแรกในรอบ 47 ปี
เกมเมื่อวานนี้ในช่วงดึก สถานการณ์ของไทยสุ่มเสี่ยงกับการตกรอบ เพราะยูเออีนำก่อนตั้งแต่ 7 นาทีแรกจาก อาลี มับคุต กองหน้าตัวเก่ง แต่หลังจากตั้งหลักได้ ช้างศึกก็รวมพลังกันจนตีเสมอ 1-1 ได้จาก ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ ในนาทีที่ 41 ทำให้จบ 3 นัดในรอบแรก ไทยมี 4 คะแนน และผลอีกคู่ บาห์เรน ชนะ อินเดีย 1-0 ทำให้ไทยเข้ารอบในฐานะอันดับ 2 ของกลุ่ม ส่วนยูเออี มี 5 คะแนน เป็นอันดับ 1 ของกลุ่ม
นั่นคือเบื้องหน้าของความสำเร็จ แต่เบื้องหลังน่าจะเกิดจากปัจจัยสำคัญหนึ่งคือ การเปลี่ยนแปลงหัวหน้าโค้ชตามที่ พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมโน โฆษกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ได้ระบุไว้หลังจบเกมที่ไทยแพ้อินเดีย 1-4
พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ เรียกประชุมด่วนสตาฟฟ์โค้ช และตัวแทนนักเตะ 5 คน เพื่อแก้ไขสถานการณ์ที่ไม่ดีมาตั้งแต่ตกรอบรองชนะเลิสฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียนแล้ว สุดท้ายนำมาซึ่งการเปลี่ยนตัวโค้ชจาก มิโลวาน ราเยวัช เป็น “โค้ชโต่ย” ศิริศักดิ์ ยอดญาติไทย ที่อยู่กับทีมมาพร้อมราเยวัช เข้าดูแลแทน
“โค้ชเฮง” วิทยา เลาหกุล อุปนายกสมาคมกีฬาฟุตบอล ผู้ที่มีส่วนในการคัดเลือก “โค้ชโต่ย” เข้ามาทำหน้าที่ผู้ช่วยทีมชาติไทย กล่าวชื่นชมแผนการเล่นของโค้ชโต่ย ว่า แม้จะเน้นรับ แต่เกมรุกก็ให้เล่นรุกแบบเป็นทีม ซึ่งเป็นแบบที่นักเตะไทยชอบ ทำให้ผลงานออกมาดี
สำหรับรอบต่อไป “โค้ชเฮง” มองว่า ด้วยวิธีการเล่นแบบนี้ ทีมชาติไทยมีศักยภาพพอที่จะไปไกลกว่ารอบ 16 ทีมสุดท้าย แม้ว่าจะต้องเจอคู่แข่งที่เป็นชาติใหญ่กว่าก็ตาม
ทีมชาติไทย จะพบกับรองแชมป์กลุ่มซี ระหว่าง จีน กับเกาหลีใต้ ในศึกเอเชียนคัพ 2019 รอบ 16 ทีมสุดท้าย ในวันที่ 20 มกราคม เวลา 21.00 น. ตามเวลาประเทศไทย. – สำนักข่าวไทย