สำนักข่าวไทย 13 ม.ค.- มารดาของเด็กชายอายุเกือบ 4 ปีเผยสิทธิบัตรทองช่วยลูกชายเข้าถึงการรักษา หลังป่วยเป็น “มะเร็งเม็ดเลือดขาว” ตั้งแต่อายุเกือบ 2 ขวบ ทั้งเจาะไขกระดูก รับเคมีบำบัดต่อเนื่อง ย้ำหากไม่มีกองทุนบัตรทอง คงจ่ายค่ารักษาเองไม่ไหว
น.ส.ธัณฐาพร โรจน์ไชสิน อายุ 37 ปี อาชีพช่างเสริมสวยใน กทม. เปิดเผยว่า ลูกชายอายุ 3 ขวบ 7 เดือน ป่วยด้วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว (ลูคีเมีย) ใช้สิทธิบัตรทอง ในการรับการรักษาต่อเนื่อง โดยลูกเริ่มมีอาการป่วยเมื่ออายุ 1 ขวบ 11 เดือน ตอนนั้นเป็นไข้หลายวัน มีท้องอืดร่วมด้วย กลางคืนมีไข้สูง จะไม่ร่าเริงเหมือนกับเด็กทั่วไป มีอยู่วันหนึ่งมีไข้สูงติดต่อ 3 วัน ไข้ไม่ลดลงเลย ช่วงแรกพาไปหาคุณหมอทั้งคลินิกใกล้บ้าน และโรงพยาบาลเอกชน ยังไม่ได้ใช้สิทธิบัตรทอง เพราะโรงพยาบาลที่เป็นหน่วยบริการประจำของลูกค่อนข้างแน่น ต้องรอคิวนาน ทั้งลูกยังเล็กมากจึงเลือกจ่ายเงินแทน ซึ่งคุณหมอตรวจยังไม่เจอสาเหตุ เป็นการรักษาตามอาการโดยให้ยาลดไข้และยาแก้ท้องอืดมากิน
หลังจากนั้นอาการยังไม่ดีขึ้น เกรงจะป่วยเป็นไข้เลือดออก จึงลองพาลูกไปหาหมอที่โรงพยาบาลมเหสักข์ที่เป็นหน่วยบริการประจำ คุณหมอได้เจาะเลือดตรวจ พบว่ามีเม็ดเลือดขาวผิดปกติ และขอส่งต่อไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ในวันนั้นเลย เมื่อโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ได้เจาะเลือดตรวจละเอียดอีกครั้งและวินิจฉัยว่า มีความเป็นไปได้ 80-90% ที่ป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว และให้ลูกรับการเจาะไขกระดูกสันหลัง โดยผลตรวจยืนยันว่าป่วยเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว จากนั้นคุณหมอจึงได้วางแผนการรักษา โดยต้องให้เคมีบำบัด แม้ว่าจะมีผลข้างเคียงทั้งตอนนั้นลูกยังเล็กมาก แต่ก็จำเป็นเพราะจะทำให้มีอาการดีขึ้น
“ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม 2560 ลูกต้องรับคีโมหลายครั้ง นับไม่ถ้วน แต่ละครั้งต้องนอนที่โรงพยาบาลนาน 1-2 สัปดาห์ ผลข้างเคียงคือกินข้าวไม่ได้ น้ำหนักตัวลดมากจาก 16 กิโลกรัม เหลือเพียง 11 กิโลกรัมเท่านั้น ทั้งยังมีภาวะปากเปื่อย ก้นเปื่อย มีอาการถ่ายตลอด ถ่ายเป็นน้ำไม่มีกาก ต้องเปลี่ยนผ้าอ้อมสำเร็จรูปทุก 10 นาที เดินไม่ไหว ไม่มีแรง มีอาการแบบนี้เป็นเดือน แต่หลังจากรับคีโม 2 เดือนแล้ว อาการค่อยๆ ดีขึ้น กลับมาพักฟื้นที่บ้านได้ และนัดกลับไปรับคีโมรักษาต่อเนื่อง”
น.ส.ธัณฐาพร กล่าวต่อว่า วันนี้ลูกอายุเกือบ 4 ปีแล้ว ยังต้องรับเคมีบำบัดอยู่รวมทั้งเจาะไขกระดูกสันหลัง แต่ภาพรวมดูดีขึ้น แข็งแรงขึ้น กินข้าวและเล่นได้ คุณหมอบอกว่าลูกสามารถรักษาให้หายขาดได้เพราะอายุยังน้อยอยู่ เพียงแต่ต้องทำตามที่หมอแนะนำ กินยาที่หมอให้ และงดรับประทานอาหารที่แสลง อย่างผักสด อาหารหมักดอง
“มาใช้สิทธิรักษาตอนที่น้องป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว เพราะหากต้องจ่ายเองก็คงไม่ไหวแน่ๆ ทั้งก่อนหน้านี้ยังได้กู้เงิน 2 แสนบาท จากญาติมาเพื่อมาเป็นทุนจ่ายค่ายารักษานอกบัญชีที่บัตรทองยังไม่ครอบคลุม ตกครั้งละ 20,000-30,000 บาท ภายหลังลูกได้เข้าโครงการมูลนิธิแมกซ์เพื่อรับยานี้ อย่างไรก็ตามหากไม่มีสิทธิบัตรทองดูแลและต้องจ่ายค่าใช้จ่ายเอง จากรายได้ที่มีก็คงไม่ไหวแน่นอน”
น.ส.ธัณฐาพร กล่าวต่อว่า จากที่ได้พบนายกรัฐมนตรีในงานลงนามบันทึกความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศในการสนับสนุนการจัดทำข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ของ 11 หน่วยงานภาครัฐที่ทำเนียบรัฐบาล ได้กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลที่สนับสนุนกองทุนบัตรทองนี้ ทำให้ลูกเข้าถึงการรักษา ซึ่งเป็นสวัสดิการที่ดีในการดูแลประชาชนที่มีรายได้น้อย โดยเฉพาะคนเจ็บป่วยด้วยโรคค่ารักษาสูงไม่มีเงินจ่ายค่ารักษา อยากให้มีกองทุนหลักบัตรทองนี้เพื่อประชาชนต่อไป.-สำนักข่าวไทย