กรุงเทพฯ 24 ธ.ค.- สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)
ประเมินเศรษฐกิจไทยปี 2562 ขยายตัวร้อยละ 3.7 – 4.0 จากแรงผลักดันจากการลงทุนภาครัฐ
ความชัดเจนทางการเมืองช่วยหนุนความคึกคัก ประเมินการส่งออกขยายตัวร้อยละ 6 จากสงครามการค้า จีน – สหรัฐกดดัน
นายมนตรี โสคติยานุรักษ์
ผู้อำนวยการหลักสูตรวิทยาการการจัดการสำหรับนักบริหารระดับสูง (วบส.)ของนิด้า เปิดเผยว่า
นิด้าประเมินการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2562 ขยายตัวร้อยละ 3.7-4.0
โดยการเติบโตจะมาจากกลไกการขับเคลื่อนจากภาครัฐ ผ่านมาตรการและนโยบายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ
โดยเฉพาะแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ
ซึ่งหลายโครงการได้รับอนุมัติและสามารถเริ่มก่อสร้างได้ในปีหน้า งบลงทุนกว่า 450,000 ล้านบาท เช่น
โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มและสายสีม่วง โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานพื้นที่ EEC
และรถไฟทางคู่สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ
แม้ว่าในช่วงไตรมาสแรกของปี
บทบาทของรัฐอาจชะลอตัวจากภาวะการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น
แต่ความชัดเจนทางการเมืองจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง
ซึ่งคาดว่านโยบายของรัฐบาลใหม่จะสามารถสร้างความน่าสนใจ
รวมถึงดึงดูดความเชื่อมั่นจากนักลงทุนให้เข้ามาในประเทศได้ นอกจากนี้
ยังมีงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจอีกกว่า 400,000 ล้านบาท
ส่วนการบริโภคภาคครัวเรือนอาจดีขึ้นได้ช่วงไตรมาสแรกของปี
จากเงินเลือกตั้งกว่า 30,000-40,000 ล้านบาท แต่ในช่วงครึ่งปีหลังอาจซบเซา
เพราะอิทธิพลของหนี้ภาคครัวเรือนที่มีแนวโน้มขยายตัวขึ้น
และความผันผวนของราคาสินค้าเกษตร ซึ่งรัฐบาลชุดใหม่ควรเร่งจัดการแก้ไขเรื่องนี้
ไปพร้อมกับการแก้ไขภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวอย่างเป็นรูปธรรม ส่วนภาคการลงทุนปี 2562 คาดว่าต้องรอถึงช่วงครึ่งปีหลัง
เพราะบรรยากาศในการลงทุนและความเชื่อมั่นน่าจะเกิดขึ้นได้จากความชัดเจนทางการเมืองหลังการเลือกตั้ง
สำหรับภาคการส่งออกภาวะการค้าโลกกำลังอยู่ในสภาวะชะลอตัวจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน
ที่ โดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ
พยายามกีดกันสินค้าต่างประเทศโดยเฉพาะจีนด้วยกำแพงภาษีที่สูงถึง ร้อยละ 25 ตามนโยบายที่ใช้หาเสียง แต่จากการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐที่เกิดขึ้น
ผลการเลือกตั้งทำให้ทรัมป์ไม่สามารถกำกับสภาผู้แทนฯได้เหมือนเคย
ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าบทสรุปของสงครามการค้าระหว่างจีน
จะจบลงอย่างประนีประนอมด้วยการเจรจาที่ลงตัว และภาวะทางการค้าโลกจะกลับมาสดใสในไม่ช้า
คาดว่าการส่งออกไทยปี 2562 จะเติบโตได้ประมาณร้อยละ 6 ลดลงจากปีนี้เล็กน้อย ขณะที่ระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยคาดว่าจะอยู่ที่ระดับร้อยละ
2.00 – 2.25 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 1.5 ส่วนค่าเงินบาทคาดว่าอัตราแลกเปลี่ยนจะอยู่ที่ระดับ 31 – 33 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐ
สำหรับภาพรวมของปี 2561 เศรษฐกิจไทยค่อนข้างทรงตัว
เนื่องจากกำลังซื้อของภาคการบริโภคชะลอตัว หนี้ครัวเรือนยังคงอยู่ในระดับสูงที่ร้อยละ
77.5 ต่อ GDP โดยส่วนใหญ่เป็นสัดส่วนหนี้ที่เกิดขึ้นกับธนาคารพาณิชย์
โดยในส่วนนี้เป็นเพียงหนี้ในระบบเท่านั้น
ไม่ได้นับรวมหนี้นอกระบบที่คาดว่าขยายตัวเพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้
นอกจากอิทธิพลของความซบเซาภายในประเทศแล้ว
อีกหนึ่งปัญหาหลักที่ส่งผลกระทบต่อการบริโภคภาคครัวเรือนคือราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ
เนื่องจากจำนวนประชากรที่อยู่ในภาคเกษตรของประเทศไทยนั้นมีมากกว่า 7.9 ล้านครัวเรือน หรือประมาณ 46.4%
ของจำนวนประชากรทั้งหมดในประเทศ ทำให้กำลังซื้อของประชากรโดยส่วนใหญ่ชะลอตัว ในขณะที่ภาคการลงทุนยังคงชะลอตัว
โดยมีดัชนีอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ร้อยละ 68
นอกจากนี้การลงทุนในภาคการผลิตจริงจากต่างประเทศ
และการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ยังรอความชัดเจนทางการเมือง
ส่วนภาคการส่งออกคาดว่าภาพรวมของปี 2561 จะเติบโตได้ร้อยละ 8
จากกำลังซื้อของประเทศคู่ค้าสำคัญอย่าง ASEAN ที่มีสัดส่วนการส่งออกกว่าร้อยละ
28.5ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวกลับชะลอตัวในช่วง High-Season
เนื่องจากมีกรณีอุบัติเหตุ
ทำให้นักท่องเที่ยวต่างประเทศขาดความเชื่อมั่น ทั้งนี้จะเห็นได้ว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี
2561 เติบโตได้จากภาคการส่งออกและบทบาทการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ
ผ่านนโยบายประชานิยม และโครงการการลงทุนต่างๆ คาดเศรษฐกิจไทยปีนี้เติบโตได้ร้อยละ 4.3-สำนักข่าวไทย