ทำเนียบฯ 19 ธ.ค.- นายกรัฐมนตรี ร่วมเป็นสักขีพยานพิธีลงนามในบันทึกความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศในการสนับสนุนการจัดทำข้อมูล (Big Data) ใช้ในการบริหารราชการแผ่นดิน ร่วมกับ 11 หน่วยงาน ยืนยันรัฐบาลดูแลสวัสดิการให้ประชาชน ควบคู่กับยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ไม่ใช่ให้เงินเพื่อสร้างบุญคุณ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เป็นประธานเปิดงาน “สร้างสุขทุกช่วงวัย สวัสดิการแห่งรัฐ” และแสดงปาฐกถาพิเศษ ในพิธีลงนามในบันทึกความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศในการสนับสนุน “การจัดทำข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) และการนำระบบบริหารจัดการข้อมูลแบบชี้เป้า (TPMAP) ใช้ในการบริหารราชการแผ่นดิน” เป็นความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ของ 11 หน่วยงาน เพื่อยกระดับการให้บริการสวัสดิการให้เข้าสู่ยุค 4.0 ด้วยการนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เข้ามาใช้บริหารจัดการฐานข้อมูลสวัสดิการแห่งรัฐอย่างเป็นระบบ
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การจัดทำข้อมูล (Big Data) ใช้ในการบริหารราชการแผ่นดิน เป็นการทำงานบูรณาการทุกกระทรวง ทุกหน่วยงานของภาครัฐอย่างใกล้ชิด เพื่อสร้างความสุขให้กับทุกคน วันนี้ประชาชนมีหลายกลุ่ม รัฐบาลต้องดูแลสวัสดิการให้ประชาชน ควบคู่กับแนวทางการยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ซึ่งงานที่ดูแลสวัสดิการนั้น มีกว่า 70 หน่วยงานที่ดูแลอยู่
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ในระยะเวลาช่วง 30-40 ปี ประเทศไทยได้รับการยอมรับว่าเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง จากการเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลางค่อนข้างสูง แต่รัฐบาลต้องผลักดันให้ไทยไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูง ซึ่ง Big Data จะเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมาย เพราะจะทำให้ทราบข้อมูลต่าง ๆ เช่นข้อมูลมีผู้มีรายได้น้อย ก่อนที่จะวางมาตรการสนับสนุนได้อย่างตรงจุด
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การดูแลสวัสดิการให้กับประชาชน ไม่ใช่การให้เงินเพื่อสร้างบุญคุณ แต่เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะทำให้ประชาชนทุกกลุ่มทุกช่วงวัย ขณะเดียวกัน ต้องระวังการใช้จ่ายงบประมาณ และที่ผ่านมาได้มุ่งยกระดับความเจริญของประเทศในทุกพื้นที่ ซึ่งทำให้ประชาชนมีรายได้สูงขึ้น จำนวนผู้มีรายได้น้อยลดลง ทั้งหมดนี้มาจากสถิติข้อเท็จจริง เงินสวัสดิการ 500 บาท ที่ให้นั้นเป็นไปเพื่อให้ประชาชนนำไปใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็นสำหรับครัวเรือนเพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบเหตุในกรณีต่าง ๆ เช่น อุทกภัย ผู้พิการ ผู้สูงอายุ เป็นสิ่งที่รัฐต้องดูแล ในช่วงที่คนเหล่านั้นยังไม่เข้มแข็งพอ นั่นคือ รัฐสวัสดิการ ส่วนผู้มีรายได้สูง ก็ต้องเสียภาษีต่าง ๆ เพื่อนำเงินกลับมาดูแลผู้มีรายได้น้อย จึงอยากให้ทุกคนเข้าใจ การที่รัฐบาลลงทุนต่าง ๆ เพื่อให้มีเงินกลับมาดูแลผู้มีรายได้น้อย ซึ่งรัฐบาลและประชาชนต่างต้องดูแลซึ่งกันและกัน เพื่อให้อยู่ด้วยกันได้
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สวัสดิการแห่งรัฐ จะเกิดประโยชน์สูงสุด ก็ต่อเมื่อมีความทั่วถึงและเท่าเทียม ซึ่งต้องนำระบบเทคโนโนยีสารสนเทศ และ Big Data เข้ามาใช้ และนำไปสู่การปฎิบัติได้จริง ต้องสามารถคัดแยกกิจกรรมเพื่อดูแลประชาชนว่าเรื่องใดต้องทำก่อนและหลังและต้องมีแผนการปฏิบัติที่ชัดเจน เพราะการแก้ปัญหาหลายอย่าง จำเป็นต้องใช้เวลา การทำงานที่ต่อเนื่อง จะใช้ ม.44 แก้ไขไม่ได้ เทคโนโลยีสารสนเทศ จะเข้ามาช่วยการทำงานในโลกของการขับเคลื่อนด้วยดิจิทัล ที่จะลดขั้นตอนการให้และรับบริการภาครัฐ ตลอดจนการเข้าถึงมาตรการเพื่อดูแลประชาชนจากภาครัฐ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า แผนปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจจะเป็นส่วนสำคัญที่จะสร้างรายได้เพิ่มขึ้นให้กับประเทศ เพื่อนำมาเป็นงบประมาณสำหรับรายจ่ายประจำ การลงทุน และการจัดสวัสดิการแห่งรัฐ ขณะที่รัฐบาลต้องดำเนินการทุกอย่างด้วยความชัดเจนไม่คลุมเครือและต้องมาจากการหารือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องก่อนสร้างการรับรู้กับประชาชน เพราะปัญหาความเข้าใจเป็นเรื่องหลัก ดังนั้น ต้องทำให้ประชาชน มีพื้นฐานความคิดที่ดีเพียงพอ และในการที่จะเป็นประชาธิปไตยก็เช่นเดียวกัน ต้องมาจากรัฐธรรมนูญและกฎหมาย และมาจากประชาชนที่มีหลักคิดที่ถูกต้อง และต้องได้ประชาธิปไตยที่มีธรรมาภิบาลอย่างแท้จริง
ภายหลังกล่าวปาฐกถาเสร็จสิ้น นายกรัฐมนตรีได้เป็นสักขีพยานการลงนามในบันทึกความร่วมมือด้านการบูรณาการข้อมูลภาครัฐระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ประกอบด้วย กระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงยุติธรรม สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
นอกจากนี้ภายในงานยังมีการจัดนิทรรศการเผยแพร่ข้อมูล สร้างความรู้และความเข้าใจในสวัสดิการต่างๆ ที่สำคัญของคนไทยในแต่ละช่วงวัย.- สำนักข่าวไทย