ยอดใช้เอฟทีเอ-จีเอสพี 10 เดือนโตต่อเนื่อง

นนทบุรี 14 ธ.ค. – พาณิชย์โชว์ยอดใช้สิทธิ์เอฟทีเอ-จีเอสพี 10 เดือนโตถึงร้อยละ 8.98 มูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ พุ่ง 62,418 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มั่นใจทั้งปีสูงทะลุเป้า 70,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 


นายอดุลย์ โชตินิสากรณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ แถลงการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) และภายใต้ระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (จีเอสพี) โดยในช่วง 10 เดือนแรก (ม.ค.-ต.ค.) มูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ รวมอยู่ที่ 62,418.19 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีอัตราการใช้สิทธิประโยชน์ฯ อยู่ที่ร้อยละ 75.02 ขยายตัวจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมาร้อยละ 8.98 แบ่งเป็นมูลค่าการใช้สิทธิ์จากเอฟทีเอ  58,391.46 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมูลค่าการส่งออกภายใต้จีเอสพี 4,026.73 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 


ทั้งนี้ ปัจจุบันไทยจัดทำความตกลงเอฟทีเอ 12 ฉบับ และมีการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ความตกลงเอฟทีเอ คิดเป็นมูลค่าเท่ากับ 58,391.46 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 76.40 ของมูลค่าการส่งออกรวมภายใต้ความตกลงการค้าเสรีไปยังประเทศคู่ภาคีความตกลง เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมาร้อยละ 8.82 โดยตลาดส่งออกที่ไทยมีมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ อาเซียน มูลค่า 22,409.14 ล้านดอลลาร์สหรัฐ  จีน มูลค่า 14,708.27 ล้านดอลลาร์สหรัฐ  ออสเตรเลีย มูลค่า 7,837.44 ล้านดอลลาร์สหรัฐ  ญี่ปุ่น มูลค่า 6,338.03 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และอินเดีย มูลค่า 3,719.71 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเมื่อพิจารณาอัตราการขยายตัวของมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ พบว่าตลาดที่มีอัตราการขยายตัวสูงสุด คือ เปรู ขยายตัวร้อยละ 58.62 รองลงมาอินเดียและเกาหลี ซึ่งมีอัตราการขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 23.58 และ 22.73 ตามลำดับ ซึ่งทั้ง 3 ตลาดดังกล่าวนอกจากจะมีอัตราการขยายตัวสูงแล้วยังพบว่ามีอัตราการใช้สิทธิประโยชน์สูงเช่นเดียวกัน 

สำหรับกรอบความตกลงการค้าเสรีที่มีอัตราการใช้สิทธิประโยชน์สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ไทย-ชิลี ไทย-ญี่ปุ่น  ไทย-เปรู  ไทย-ออสเตรเลีย และอาเซียน-จีน  และรายการสินค้าส่งออกที่มีมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ รถยนต์บรรทุก ผลิตภัณฑ์ยางสังเคราะห์ผสมยางธรรมชาติ ทุเรียน น้ำตาลจากอ้อย และน้ำมันปิโตรเลียม 


อย่างไรก็ตาม ในปี 2562 คาดว่าจะมีความตกลงการค้าเสรีที่มีผลบังคับใช้เพิ่มอีก 1 ฉบับ คือ อาเซียน-ฮ่องกง (AHKFTA) ซึ่งได้ข้อสรุปการเจรจารอบสุดท้ายเมื่อเดือนกรกฎาคม 2560 ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการภายในของแต่ละประเทศสมาชิก เพื่อให้มีผลบังคับใช้ โดยความตกลงฯ ดังกล่าวถือเป็นทางเลือกผู้ส่งออกไทยที่สนใจจะใช้เป็นช่องทางให้สินค้าไทยเจาะตลาดจีนและตลาดอื่น ๆ โดยใช้ฮ่องกงเป็นประตูการค้าและการลงทุนเชื่อมโยงไทยไปสู่ตลาดใหญ่อย่างจีนและตลาดในภูมิภาคอื่นทั่วโลก เนื่องจากฮ่องกงมีบทบาทสำคัญในนโยบายหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (One Belt One Road) ของจีน และได้รับสิทธิพิเศษต่าง ๆ จากจีนภายใต้ความตกลงทางการค้ากับจีน รวมถึงมีความเชี่ยวชาญภาคบริการ โดยเฉพาะด้านการเงิน การค้า และโลจิสติกส์ นอกจากนี้ ยังมีเอฟทีเอใหม่ ๆ ที่น่าติดตาม ซึ่งเริ่มเปิดการเจรจาและคาดว่าจะมีการเจรจาที่มีความคืบหน้าอย่างมากปีหน้า ได้แก่ ความตกลงการค้าเสรีไทย-ศรีลังกา และความตกลงการค้าเสรีไทย-ตุรกี ซึ่งทั้ง 2 ประเทศเป็นตลาดใหม่ที่น่าสนใจ และเอฟทีเอจะช่วยเพิ่มโอกาสส่งออกสินค้าไทย อีกทั้งยังสามารถใช้เป็นประตูสู่การค้าและการลงทุนเชื่อมโยงไปภูมิภาคขนาดใหญ่ คือ เอเชียใต้ และสหภาพยุโรป ตามลำดับ 

ทั้งนี้ ยังคงต้องจับตาส่งออก  2 เดือนสุดท้ายปี 2561 ซึ่งมีแนวโน้มต้องเผชิญกับความท้าทายจากความผันผวนและปัจจัยเสี่ยงด้านต่าง ๆ อาทิ การเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันในตลาดโลก ความผันผวนของนโยบายการค้า และประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนที่ยังไม่มีความชัดเจนและอาจส่งผลกระทบในวงกว้างต่อความเชื่อมั่นทางการค้าและการลงทุน แต่กรมฯ เชื่อมั่นว่าสินค้าไทยยังมีโอกาสส่งออกไปตลาดจีนรวมถึงตลาดอื่น ๆ ที่มีศักยภาพมากขึ้น ทำให้คาดว่ามูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ จะขยายตัวอย่างต่อเนื่องตามเป้าหมาย โดยตลอดปี 2561 ตั้งเป้าหมายอัตราการขยายตัวมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ ไว้ที่ร้อยละ 9 คิดเป็นมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ ประมาณ 70,794 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ มูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ ในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา คิดเป็นร้อยละ 88.2 ของเป้าหมายมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ โดยเมื่อพิจารณาถึงมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอันเป็นผลมาจากการส่งออกของไทยที่มีการกระจายตัวในตลาดใหม่  รวมทั้งการปรับปรุงระบบการให้บริการเพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ จึงมั่นใจว่ามูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ จะขยายตัวอย่างต่อเนื่องตามเป้าหมายที่ตั้งไว้.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ตัดไฟแก๊งคอลเซ็นเตอร์

PEA ตัดไฟแก๊งคอลเซ็นเตอร์บริเวณชายแดนไทย-เมียนมา 5 จุด

เริ่มแล้ว การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) รับนโยบาย สมช.สั่งตัดไฟฟ้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในฝั่งเมียนมา 5 จุด เมื่อเวลา 09.00 น. วันนี้

บุกจับกำนันหญิงแหนบทองคำ ฉ้อโกง 41 ล้าน

ตำรวจพิษณุโลกเปิดปฏิบัติการ “หักขาไก่” นำ 10 หมายจับ รวบตัว “กำนันหญิงแหนบทองคำ” ประธานกองทุนหมู่บ้าน กับคณะกรรมการกองทุนฯ ร่วมฉ้อโกงประชาชน หลังชาวบ้าน 140 ราย แจ้งความ มูลค่าความเสียหาย 41 ล้านบาท

ชาวเมียวดีหวั่นถูกตัดไฟฟ้า เตรียมเทียนไข-ไฟโซลาร์เซลล์

ชาวบ้านเมียวดี ฝั่งเมียนมา ตรงข้ามชายแดนแม่สอด จ.ตาก หวั่นไทยตัดไฟฟ้า กระทบวงกว้าง เตรียมเทียนไข-ไฟโซลาร์เซลล์-เครื่องปั่นไฟ รับมือ ด้าน PEA ชี้ตัดไฟเมียนมาอาจสูญเปล่า หากไม่พิจารณาให้ครบถ้วน

ข่าวแนะนำ

พิรงรองคุก2ปี

คุก 2 ปี “พิรงรอง” กสทช. คดี “ทรู” ฟ้องกลั่นแกล้ง

ศาลสั่งจำคุก 2 ปี “พิรงรอง” กรรมการ กสทช. ไม่รอลงอาญา ผิดมาตรา 157 ชี้มีเจตนากลั่นแกล้ง “ทรูไอดี” ให้ได้รับความเสียหาย กรณีออกหนังสือเตือนโฆษณาแทรกในทีวีดิจิทัล

นายกฯพบสีจิ้นผิง

นายกฯ เข้าเยี่ยมคารวะ “สี จิ้นผิง”

นายกฯ เข้าเยี่ยมคารวะ “สี จิ้นผิง” ย้ำความสัมพันธ์ทางการทูตและหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ ด้านจีนหนุนไทยมีบทบาทในเวที ระดับโลกและภูมิภาค

ตัดไฟแก๊งคอลเซ็นเตอร์

“ภูมิธรรม” ลงพื้นที่แม่สอด ชี้ยังสรุปไม่ได้ หลังตัดไฟเมื่อวาน

“ภูมิธรรม” ลงพื้นที่แม่สอด ชี้ยังสรุปไม่ได้ หลังตัดไฟแก้ปัญหาคอลเซ็นเตอร์ ขอทำไปประเมินไป อย่าทำให้เป็นประเด็น มองเป็นสิทธิฝั่งเมียนมาซื้อไฟฟ้าจากลาว ลั่นเดี๋ยวต้องคุยอีก ย้ำตัดไฟครั้งนี้ไม่ได้ใช้อารมณ์ รู้อยู่กระทบเศรษฐกิจบ้าง แต่แค่ 0.1%

รวบแล้วนักโทษหนีเรือนจำนนทบุรี จนมุมที่ จ.ชลบุรี

จับได้แล้วนักโทษชายหนีเรือนจำจังหวัดนนทบุรี ระหว่างออกกองงานภายนอก จนมุมที่หน้าโรงแรมแห่งหนึ่งย่านบางแสน จ.ชลบุรี ก่อนนำตัวมาสอบสวนและดำเนินคดีที่ สภ.เมืองนนทบุรี