กรุงเทพ ฯ 13 ธ.ค. – ก.ล.ต.จับมือ ตลท. และพันธมิตร ชวนนายจ้างเข้าโครงการ “บริษัทเกษียณสุข” กระตุ้นลูกจ้างออมผ่านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หลังพบว่าสมาชิกกองทุนเลี้ยงชีพกว่าร้อยละ 60 มีเงินออมใช้หลังเกษียณไม่ถึง 1 ล้านบาท
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ร่วมมือกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.), สมาคมบริษัทจัดการลงทุน และสมาคมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ จัดโครงการ “บริษัทเกษียณสุข” ซึ่งมีนายจ้างกว่า 170 บริษัท ครอบคลุมสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพกว่า 300,000 คน เข้าร่วมเพื่อเป็นการส่งเสริมให้ลูกจ้างในบริษัทมีเงินใช้หลังเกษียณอย่างพอเพียง โดยออมผ่านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งบริษัทที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับสื่อการเรียนรู้ทั้งรูปแบบดิจิทัลและอนาล็อกให้นำไปใช้สื่อสารกับลูกจ้างให้หันมาสนใจสมัครเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ อบรมความรู้ในการบริหารกองทุน และนำเสนอทางเลือกแผนการลงทุนที่เหมาะสมกับการเกษียณของลูกจ้าง
นายรพี สุจริตกุล เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า ปัจจุบันสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพกว่าร้อยละ 60 มีเงินออมใช้หลังเกษียณไม่ถึง 1 ล้านบาท ขณะที่ผลวิจัยระบุว่าเงินขั้นต่ำสุดที่ควรมีเพื่อให้สามารถดำรงชีวิตต่อไปได้หลังเกษียณ คือ ประมาณ 3 ล้านบาท และสมาชิกไม่รู้ว่าจะต้องสะสมเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเพื่อให้เพียงพอหลังเกษียณ ทำให้ออมน้อย เริ่มออมช้า และไม่เลือก หรือไม่มีทางเลือกในนโยบายการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนมากพอที่จะทำให้เงินออมเติบโตจนถึงระดับที่เพียงพอสำหรับใช้จ่ายหลังเกษียณ ปัจจุบันสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมากกว่าร้อยละ 80 ยังคงเลือกนโยบายการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำหรือลงทุนในตราสารหนี้เป็นหลัก
ทั้งนี้ นายจ้างจึงเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นให้ลูกจ้างสะสมเงินเต็มสิทธิร้อยละ 15 ของเงินเดือน และลงทุนให้เป็นเลือกแผนลงทุนแบบสมดุลตามอายุ (Life Path) ที่ช่วยในการปรับสัดส่วนการลงทุนตามช่วงอายุของสมาชิก แต่ที่สำคัญที่สุด คือ นายจ้างต้องให้ความรู้แก่ลูกจ้างเพื่อให้สามารถเลือกแผนการลงทุนของลูกจ้างที่เหมาะสมกับเป้าหมายการเกษียณของตนเอง
ด้านนายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลท. กล่าวว่า ปัจจุบันมีจำนวนลูกจ้าง 3 ล้านคนที่ออมผ่านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งที่ผ่านมา ตลท.พัฒนาสื่อการเรียนการสอนเพื่อวางแผนการออมวัยเกษียณ และสนับสนุนให้สมาชิกเลือกแผนการออมด้วยตนเอง โดยเฉพาะการออมผ่านหุ้นและกองทุน ซึ่งจะให้ผลตอบแทนสูงกว่าการออมผ่านตราสารหนี้
จากข้อมูลสมาคมจัดการลงทุนพบว่าปัจจุบันพอร์ตกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอยู่ที่ 1.146 ล้านล้านบาท โดยพบว่าลงทุนในหุ้นกู้ร้อยละ 28.7 ลงทุนในพันธบัตรและตราสารหนี้ ร้อยละ 26.88 ลงทุนในหุ้นสามัญร้อยละ 19 ลงทุนในหน่วยลงทุนร้อยละ 13 และลงทุนในเงินฝาก ร้อยละ 11 ซึ่งพบว่าการลงทุนในหุ้นยังต่ำกว่าพันธบัตร ดังนั้น ผลตอบแทนจึงไม่มาก หากจะลงทุนให้ชนะเงินเฟ้อต้องลงทุนในหุ้นอย่างน้อยร้อยละ 10 แต่หากต้องการผลตอบแทนร้อยละ 4-6 ต่อปี ต้องลงทุนในหุ้นอย่างน้อยร้อยละ 25
นายเขมทัตต์ พลเดช กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.อสมท กล่าวว่า อสมท มีพนักงานประมาณ 1,500 คน เป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 1,171 คน ซึ่งทางบริษัทพยายามสื่อสารความเข้าใจกับพนักงานให้เข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพเพื่อออมหลังเกษียณ ตั้งแต่เริ่มทำงาน และเลือกแผนการลงทุนให้ถูกต้อง รวมทั้งกระตุ้นให้ลูกจ้างสะสมเงินเต็มสิทธิ์ร้อยละ15 ของเงินเดือน โดยยอมรับว่าพนักงานที่อยู่ในต่างจังหวัดไม่มีความเข้าใจเรื่องการลงทุนมากนัก ซึ่งบริษัทจะเพิ่มการจัดอบรมและให้ความรู้เรื่องการวางแผนทางการเงินมากขึ้น.-สำนักข่าวไทย