กทม.13 ธ.ค.- เจ้าของโรงพยาบาลมาสเตอร์พีซ เข้าพบ พงส.บก.ปคบ. แจง โรงพยาบาลไม่เกี่ยวข้องคดีนมเน่า
นายแพทย์ ระวีวัฒน์ มาศฉมาดล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารโรงพยาบาลมาสเตอร์พีซ เข้าพบ ร.ต.อ.ชาญชล พรหมชนะ รอง สว.(สอบสวน) กก.2 บก.ปคบ. เพื่อชี้แจง กรณีมีกลุ่มบุคคลแอบอ้างชื่อ “โรงพยาบาลมาสเตอร์พีซ” โดยใช้เวลาสอบปากคำนานกว่า 1 ชั่วโมง ก่อนจะให้สัมภาษณ์ว่า ตามที่ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจ แห่งชาติ (ศปอส.ตร.) ได้โพสต์ข่าวจับกุม นางสาวดธินี ใจกุศล และ นางสาวหฤทัย รัตนวิไลสกุล ในข้อหา “ร่วมกัน ทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำร้ายนั้นได้รับอันตรายสาหัสร่วมกันก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในแหล่งกำเนิด สภาพ คุณภาพ ปริมาณหรือสาระสำคัญประการอื่นอันเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ, โดยทุจริตหรือ โดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชนอันมิใช่ความผิดฐานหมิ่นประมาท ตามประมวลกฎหมายอาญา” โดยทั้งสองได้แอบอ้างและใช้ชื่อ”โรงพยาบาลมาสเตอร์พีซ”สร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์องค์กร และสร้างความเข้าใจผิดแก่ ผู้บริโภค ผู้ใช้บริการ และสังคม ดังนั้น เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกัน “โรงพยาบาลมาสเตอร์พีซ” จึงขอประกาศชี้แจงข้อเท็จจริงดังนี้
ในเวลาก่อนหน้านี้ “โรงพยาบาลมาสเตอร์พีซ” ได้เปิดให้บริการสถานเสริมความงามภายใต้ชื่อ “มาสเตอร์ พีซ คลินิก” บริเวณสยามสแควร์ เขตปทุมวัน กทม. โดยเป็นการเช่าสถานที่เพื่อประกอบกิจการและให้บริการด้านความงาม จนถึงเดือนพฤษภาคม 2561จึงได้พัฒนาตัวเองเป็น “โรงพยาบาลมาสเตอร์พีซ” และคำนึงถึงความสะดวกของผู้ใช้บริการ และรองรับการพัฒนาตัวเองสาหรับกิจกรรมในอนาคต จึงได้ย้ายสถานที่ให้บริการมายัง ถนนสุโขทัย เขตดุสิต
ในช่วงเวลาคาบเกี่ยวกันนั้น ผู้ต้องหาที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปคบ.จับกุมตัวได้ เช่าสถานที่ต่อ ณ ที่ตั้งเดิมบริเวณสยามสแควร์ เพื่อเปิดเป็นสถานเสริมความงาม พร้อมแอบอ้างและใช้ชื่อ“โรงพยาบาลมาสเตอร์พีซ” ในการผ่าตัดศัลยกรรม สร้างความคลุมเครือให้ผู้ใช้บริการ จนเป็นผลให้เกิดความเสียหาย และสร้างความเสื่อมเสียชื่อเสียงแก่ “โรงพยาบาลมาสเตอร์พีซ” เป็นอย่างยิ่ง ขอเรียนว่า ไมได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมแต่อย่างใด ทั้งนี้ “โรงพยาบาล มาสเตอร์พีซ” จะดำเนินคดีกับผู้ต้องหาอย่างถึงที่สุด เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่หน่วยงานและผู้ใช้บริการต่อไป” .-สำนักข่าวไทย
