ยังไม่เคาะ “ขึ้นค่าตั๋วรถเมล์” รอ 14 ธ.ค.นี้

กทม. 11 ธ.ค.- ใครที่รอลุ้นว่า รถเมล์จะปรับขึ้นราคาเท่าใดวันนี้ ก็ต้องไปลุ้นอีกครั้งวันศุกร์นี้ พร้อมๆ กับการประกาศผลผู้ชนะโครงการรถไฟความเร็วสูง 3 สนามบิน ส่วนวันนี้ จีพีเอสซี ก็ลุ้นระทึกเช่นกัน กับการประชุม กกพ.ว่าจะพิจารณาผลอุทธรณ์ไม่ให้เกิดการซื้อหุ้นโกลว์พลังงาน ในขณะที่แนวโน้มค่าไฟฟ้าปีหน้าแม้จะปรับขึ้นบ้างแต่ก็เล็กน้อยเท่านั้น


คณะกรรมการควบคุมขนส่งทางบกกลางมีการประชุมวันนี้ว่า การพิจารณาวาระเกี่ยวกับการปรับขึ้นค่าโดยสารระเมล์ในวันนี้ ได้รับฟังความเห็นทุกด้าน ทั้งเอกชน ทั้งผู้โดยสาร กรรมการส่วนใหญ่มีความเห็นว่าจะต้องมีการพิจารณาข้อมูลเพิ่มเติมหลายประเด็นทั้งเรื่องจำนวนรถเก่าและใหม่ มาตรฐานการให้บริการ และที่สำคัญ หากปรับหรือไม่ปรับราคา จะมีการมาตรการเยียวยา ความเดือดร้อน ทั้งกรณีผู้โดยสาร และผู้ประกอบการอย่างไร เป็นเรื่องใหญ่ โดยคณะกรรมการจะมีการพิจารณามาตรการเยียวยาเพิ่มเติมวันที่ 14 ธันวาคมนี้ ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปและชี้แจงให้ประชาชนรับทราบต่อไป โดยข้อเสนอที่ประชุมพิจารณาคือ คือ ในส่วนของ รถเมล์ร้อน อาจปรับขึ้น 1 บาท ส่วนรถร่วมบริการ จาก 9 บาท เป็น 10 บาท ขณะที่รถปรับอากาศปรับระยะละ 1 บาท จาก 13 -25 บาท เป็น 14-26 บาท 

ส่วนวันที่ 14 ธันวาคม ต้องรอลุ้นโครงการเมกะโปรเจคส์ 2 แสนล้าน เพราะจะมีการประกาศผลผู้ชนะประมูลโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน ดอนเมือง – สุวรรณภูมิ – อู่ตะเภา หลังเปิดซองเสนอราคาแล้ว ซึ่งขณะนี้มีกลุ่มร่วมทุน 2 กลุ่มใหญ่ที่รอลุ้น ก็คือ บีทีเอส และซีพี 


ด้านคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ. เป็นองค์กรอิสระด้าน พลังงาน มีนายเสมอใจ ศุขสุเมฆ เป็นประธาน ได้แถลงข่าวเปิดใจถึงการทำงาน เป็นครั้งแรก โดยระบุว่า แม้ ค่าไฟฟ้างวดแรกในปีหน้า จะขยับขึ้นมา 4 สตางค์เศษๆ  มีผลตั้งแต่ปีใหม่นี้ไปจนถึงเดือนเมษายน แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ ติดลบ โดยค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ หรือเอฟทียังคงติดลบถึง 11.60 สตางค์ต่อหน่วย ถือว่าต่ำมาก หากค่าไฟฟ้าจะเปลี่ยนแปลงก็คาดว่าจะไม่ถึงระดับ 0 สตางค์แน่นอน โดยค่าไฟฟ้าก็ขึ้นกับค่าก๊าซธรรมชาติและอัตราแลกเปลี่ยน โดยก๊าซก็ผันแปรตามราคาน้ำมัน ซึ่งก็โชคดีที่ราคาน้ำมันลดต่ำลง

และในวันนี้ กกพ.ก็มีการพิจารณา ข้ออุทธรณ์ของจีพีเอสซีในเครือ ปตท.ที่อุทธรณ์มติ กกพ. ซึ่งห้ามไม่ให้มีการซื้อกิจการโกลว์พลังงาน โดยจะเปิดเผยผลประชุม วันที่ 13 ธันวาคมนี้ ซึ่งขณะนี้ ก็มีการคาดการณ์ของสื่อว่า กกพ.คงจะคงมติเดิมไม่ให้เกิดการซื้อกิจการดีลแสนล้านบาทเช่นเดิม เพราะอาจจะเกิดการผูกขาดกิจการไฟฟ้าในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง ซึ่งเดิมนั้น กกพ.ให้เหตุผลว่า ไม่ให้ควบรวมเพราะไม่ต้องการให้เกิดการผูกขาด ,ไม่ต้องการลดและจำกัดการแข่งขัน  


นอกจากนี้  ประธาน กกพ. ระบุด้วยในส่วนของการทำงาน กกพ.จะมีการปรับหลักเกณฑ์ให้สะท้อนเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลง ทั้งบล็อกเชน ระบบโซลาร์รูฟท็อปเสรี เทคโนโลยนีการขนส่งก๊าซธรรมชาติเหลวด้วยรถยนต์ โดยยอมรับว่า เทคโนโลยีอาจทำให้เอกชนผลิตไฟฟ้ามากขึ้น และ 3 การไฟฟ้า และ ปตท.อาจจะแข่งขันได้ยากลำบาก ต้องลดการการผลิตไฟฟ้าและก๊าซ และปรับตัวเองไปบริการในลักษณะการสร้างความมั่นคงและเสถียรภาพเท่านั้น   

ส่วนเรื่องวุ่นที่มีคนต่อคิวไปกดเงินของขวัญปีใหม่ 500 บาทสำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจนเอทีเอ็มกรุงไทยเกิดปัญหา และมีการวิพากษณ์วิจารณ์กันหนักมาก ว่าเป็นการหาเสียง มีการใช้เงินไม่ถูกประเภท บางคนโชว์ว่าไปซื้อสุราบ้าง วันนี้ คุณอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ย้ำว่าเงินในบัตรไม่จำกัดเวลาการใช้ และไม่มีการดึงเงินกลับคืน  ชาวบ้านยังนำไปใช้ร่วมกับวงเงินในบัตรสวัสดิการ ลดภาระค่าครองชีพ 200 หรือ 300 บาท/เดือน เพื่อนำไปซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นผ่านทางร้านธงฟ้าหรือร้านค้าเอกชนอื่น ๆ ที่รับบัตรสวัสดิการ

ทั้งนี้ ขอย้ำว่าผู้มีรายได้น้อยไม่ต้องรีบไปกดเงินสดออกมาใช้จ่าย เนื่องจากเงินยังคงอยู่ในบัตรและสามารถนำไปซื้อสินค้าที่ห้างค้าปลีกที่รับบัตรสวัสดิการได้หลายแห่งและยังมีโปรโมชั่นได้รับเงินคืนหรือสามารถลดการซื้อสินค้าด้วย เพราะตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2561 เพื่อชดเชยคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ร้อยละ 5 กลับเข้ามายังบัตรสวัสดิการฯ ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป

และวันพรุ่งนี้ (12 ธ.ค.)  กรมบัญชีกลางจ่ายเงินสนับสนุนค่าเช่าบ้านรายละ 400 บาท ให้ผู้สูงอายุ เป็นวันแรกอีก 230,000 ราย ซึ่งเงินยังคงอยู่ใบบัตรไม่จะเป็นต้องไปรีบถอนออกมาใช้จ่ายแต่อย่างใด และวันที่ 14 ธันวาคมกรมบัญชีกลางจะโอนเงินคืนค่าภาษีมูลค่าเพิ่มให้ผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการเดือนแรก หลังจากนั้นวันที่ 21 ธันวาคมจะโอนเงินสนับสนุนค่าเดินทางให้ผู้สูงอายุที่ไปรักษาพยาบาลอีกรายละ 1,000 บาท  

ส่วนกรณีที่มีการเผยแพร่ผ่านโซเชียลกรณีหญิงวัยกลางคนสวมใส่ทองรูปพรรณขับรถยนต์ใช้บัตรสวัสดิการฯ ไปกดเงิน 500 บาทนั้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้ทำการตรวจสอบ หากพบว่าขาดคุณสมบัติหญิงรายดังกล่าวอาจถูกตัดสิทธิ์ได้  สำหรับการเรียกเงิน 500 บาทคืนนั้น เป็นหน้าที่ของกรมบัญชีกลาง.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ทั่วไทยฝนตกหนัก เตือน 5 จังหวัดเสี่ยงรับมือ

กทม. 23 ส.ค.- กรมอุตุฯ เผยทั่วไทยฝนตกหนัก เตือน 5 จังหวัดเสี่ยงรับมือ เฝ้าระวัง “พายุดีเปรสชัน” มีแนวโน้มทวีกำลังแรงเป็นพายุโซนร้อน กระทบไทย 24-27 ส.ค.นี้ กรมอุตุนิยมวิทยาเผยประเทศไทยมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากบางพื้นที่บริเวณภาคตะวันออก ขอให้ประชาชนโดยเฉพาะบริเวณจังหวัดตาก จันทบุรี ตราด ระนอง และพังงา ระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมาก และฝนตกสะสมที่อาจเกิดขึ้นในระยะนี้ไว้ด้วย เนื่องจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณประเทศลาวตอนบน และเวียดนามตอนบน สำหรับบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง อนึ่ง พายุดีเปรสชันบริเวณทะเลจีนใต้ตอนบนมีแนวโน้มจะทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อน และจะขึ้นฝั่งบริเวณประเทศเวียดนามและประเทศลาวตอนบน ในช่วงวันที่ 25–26 ส.ค. 68 ทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มมากขึ้น กับมีฝนตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่ กับมีลมแรงบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และภาคเหนือ ในช่วงวันที่ 24–27 ส.ค. 68 -สำนักข่าวไทย

โปรดเกล้าฯ 6 บิ๊ก ขรก.มหาดไทย “ขจรเกียรติ” นั่งอธิบดีกรมที่ดิน

ทำเนียบ 23 ส.ค.- โปรดเกล้าฯ 6 บิ๊กข้าราชการมหาดไทย “ขจรเกียรติ” นั่งอธิบดีกรมที่ดิน ด้าน “เชษฐา” เป็นอธิบดี ปภ. ราชกิจจานุเบกษา ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงมหาดไทย พ้นจากตำแหน่ง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 6 ราย ดังนี้ ตั้งแต่วันที่ 21 ส.ค.2568 เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ 22 ส.ค.2568 ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี -สำนักข่าวไทย

จับอดีตหัวหน้าพรรคการเมืองโกงเงินอุดหนุน ก่อนหนีกบดานลาว

22 ส.ค. – ตำรวจภูธรภาค 1 จับอดีตหัวหน้าพรรคการเมือง โกงเงินอุดหนุน 17.6 ล้านบาท หนีกบดานลาว ก่อนจนมุมถูกจับกุมได้ พล.ต.ท.สุรพล เปรมบุตร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 (ผบช.ภ.1), พล.ต.ต.นราเดช ทิพย์รักษ์ รอง ผบช.ภ.1, พล.ต.ต.วรชาติ แสนคำ ผบก.สส.ภ.1, พล.ต.ต.ธรรมนูญ เชาวะวนิชย์ ผบก.ภ.จว.สระบุรี และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.พระพุทธบาท, ตม.จว.หนองคาย, กกต.จว.หนองคาย ร่วมกันจับกุม นายพีระวิทย์ อายุ 47 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับ สืบเนื่องจากเมื่อปี 2562 นายพีระวิทย์ เป็นหัวหน้าพรรคการเมือง รับเงินอุดหนุนพรรคการเมือง เพื่อพัฒนาพรรคการเมือง จำนวนประมาณ 17.6 ล้านบาท โดยไม่มีการทำหลักฐานการเบิกจ่าย ทำให้ กกต. เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับนายพีระวิทย์ และเหรัญญิกพรรค ต่อมาผู้ต้องหาทั้งสองเข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน สภ.พระพุทธบาท โดยเลื่อนการเข้าให้ปากคำและแสดงหลักฐานการเบิกจ่ายเงิน และต่อมาผู้ต้องหาทั้งสองได้หลบหนี เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงออกหมายจับในข้อหา […]

“ธีรรัตน์” สั่งผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ สแตนด์บาย 24 ชม. รับพายุคาจิกิ

กทม. 22 ส.ค.- “ธีรรัตน์” สั่งการผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ สแตนด์บายรับมือผลกระทบ “พายุคาจิกิ” ตลอด 24 ชั่วโมง ย้ำ ประชาสัมพันธ์ข้อมูลให้ประชาชนรับรู้และเตรียมพร้อมอย่างต่อเนื่อง นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า กระทรวงมหาดไทยโดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้ติดตามสภาวะอากาศร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับผลกระทบพายุโซนร้อน “คาจิกิ” ซึ่งพบว่าพื้นที่บางส่วนมีความเสี่ยงต้องเฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่ม น้ำท่วมขังในเขตชุมชนเมืองที่เกิดน้ำท่วมขังซ้ำซาก ระหว่างวันที่ 24 – 28 สิงหาคม 2568 ในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ 45 จังหวัด และกรุงเทพมหานคร นางสาวธีรรัตน์ ได้สั่งการผู้ว่าราชการจังหวัด 45 จังหวัด และศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต รวมถึงกรุงเทพมหานคร กำชับให้จัดเจ้าหน้าที่ติดตามสภาพอากาศ ปริมาณฝน และสถานการณ์น้ำในพื้นที่อย่างใกล้ชิด พร้อมกำชับให้จัดทีมปฏิบัติการพร้อมเครื่องจักรกลสาธารณภัยเข้าประจำพื้นที่เสี่ยง เพื่อเข้าเผชิญเหตุและให้การช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันท่วงทีตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมประกาศแจ้งเตือนและปิดกั้นพื้นที่ไม่ให้บุคคลใดเข้าพื้นที่หากพบว่ามีความเสี่ยง ในส่วนพื้นที่ชายฝั่ง ให้สั่งห้ามนักท่องเที่ยวเล่นน้ำและห้ามเดินเรือทุกชนิดหากสถานการณ์มีแนวโน้มรุนแรง “ให้ผู้ว่าฯ […]

ข่าวแนะนำ

5 ครอบครัวผู้เสียชีวิตจากระเบิดกัมพูชา ทำพิธีลอยอังคาร

ชลบุรี 24 ส.ค. – 5 ครอบครัวผู้เสียชีวิตจากเหตุกัมพูชายิงจรวดตกใส่ ทำพิธีลอยอังคาร ส่งดวงวิญญาณกลางอ่าวสัตหีบ โดยกองเรือยุทธการอำนวยความสะดวก 5 ครอบครัวผู้เสียชีวิตจากเหตุระเบิดของกัมพูชา เมื่อวันที่ 25 กรกฏาคม ประกอบด้วย ครอบครัวประชัน ซึ่งสูญเสียนางสาวรุ่งรัศ เด็กหญิงทักษพร และเด็กชายพงศภัค ครอบครัวเด็กชายกิตติศักดิ์ คำวัง ครอบครัวนางสาวอรุณรัตน์ วันศรี ครอบครัวนายสมศรี ลาภบุญ และครอบครัวนางสาวสาวิตรี อ่อนทรวง นำอัฐิผู้เสียชีวิต เดินทางจากจังหวัดศรีสะเกษ มายังกองเรือยุทธการ ตำบลสัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เพื่อทำพิธีลอยอังคาร ส่งดวงวิญญาณ โดยกองเรือยุทธการอำนวยความสะดวก สนับสนุนที่พัก รวมทั้ง จัดเรือกร.702 นำครอบครัวผู้เสียชีวิตไปประกอบพิธีกลางอ่าวสัตหีบ พิธีเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและสมเกียรติ ทุกคนต่างบอกว่า แม้จะผ่านมา 1 เดือน แต่ก็ยังทำใจไม่ได้ โดยเฉพาะครอบครัวประชัน ที่ต้องภรรยาและลูกอีก 2 คนไปพร้อมกัน.-สำนักข่าวไทย

ทบ. ตรวจสอบสาเหตุพลทหารเสียชีวิตที่ปราสาทตาเมือนธม

24 ส.ค. – กองทัพบกได้รับรายงานการเสียชีวิตของกำลังพลบริเวณปราสาทตาเมือนธม ปัจจุบันอยู่ระหว่างการตรวจสอบสาเหตุ พร้อมให้การช่วยเหลือเยียวยาตามสิทธิอย่างครบถ้วน กองทัพบกขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวของ พลทหาร พิทยุตท์ โสดา กำลังพลสังกัด กองพันทหารราบที่ 21 หน่วยเฉพาะกิจที่ 2 ซึ่งเสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ชายแดนไทย – กัมพูชา เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2568 เวลา 18.15 น. โดยพบร่างผู้เสียชีวิตภายในห้องสุขา บริเวณหน้าปราสาทตาเมือนธม อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ พลทหารพิทยุตท์ โสดา อายุ 20 ปี เป็นทหารกองประจำการ รุ่นปี 1/67 จากการสมัครใจเข้ามารับราชการในโครงการพลทหารออนไลน์ ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่ง พลปืนเล็ก หมู่ปืนเล็กที่ 2 หมวดปืนเล็กที่ 1 สังกัด กองร้อยทหารราบที่ 211 กองพันทหารราบที่ 21 หน่วยเฉพาะกิจที่ 2 จากการตรวจสอบเบื้องต้น ผู้เสียชีวิตไม่มีโรคประจำตัว ไม่มีประวัติเสพยาเสพติด ไม่มีภาวะความเครียด […]

แจงปมเลขบัตรประชาชน “หลวงพ่ออลงกต” ซ้ำคนตาย

กทม. 24 ส.ค.-กรมการปกครอง แจงปม “เลขประจำตัวประชาชน” หลวงพ่ออลงกต ซ้ำกับคนตาย ส่วนการเปิดพร้อมเพย์ เลขบัตรประจำตัวประชาชนของผู้ตาย ซึ่งตรงกับบัญชีกองทุนอาทรประชานาถ เป็นการดำเนินการโดยธนาคารพาณิชย์ กรณีมีรายงานว่า หลวงพ่ออลงกต วัดพระบาทน้ำพุ ซึ่งมีชื่อเดิมว่า นายอลงกต พูลมุข มีชื่อซ้ำกับ นายอลงกต พลมุข ที่มีภูมิลำเนาที่ อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา และได้เสียชีวิตไปแล้วนั้น รวมทั้งวันเดือนเกิดยังตรงกัน ต่างกันเพียงปีเกิด ล่าสุดเฟซบุ๊ก กรมการปกครอง fanpage ได้โพสต์ข้อความถึงประเด็นดังกล่าว โดยระบุว่า “กรมการปกครอง ชี้แจงกรณีเลขบัตรประจำตัวประชาชนของหลวงพ่ออลงกต ตามที่ปรากฏข้อมูลจากสื่อมวลชนว่า ‘หลวงพ่ออลงกต มีเลขประจำตัวประชาชนตรงกับนายอลงกต พลมุข ซึ่งเป็นบุคคลที่เสียชีวิตแล้ว’ นั้น สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง ได้ตรวจสอบฐานข้อมูลทะเบียนราษฎรของกรมการปกครอง พบว่า พระราชวิสุทธิประชานาถ หรือ หลวงพ่ออลงกต เลขประจำตัวประชาชน x-xxxx-xxx036-50-7 ชื่อจริง อลงกต พูลมุข นามสกุล พูลมุข มีสระอู เกิดปี […]

“คาจิกิ” ทวีกำลังเป็นพายุไต้ฝุ่น ส่งผลให้ไทยฝนตกเพิ่มทุกภาค

กรุงเทพฯ 24 ส.ค.- กรมอุตุฯ ออกประกาศระบุ ช่วงเช้าที่ผ่านมา พายุโซนร้อน “คาจิกิ” ในทะเลจีนใต้ ได้ทวีกำลังแรงเป็นพายุไต้ฝุ่น เตือน 57 จังหวัด เฝ้าระวังฝนตกหนักถึงหนักมาก ตั้งแต่วันที่ 24-27 ส.ค.68 นายสมควร ต้นจาน ผู้อำนวยการกองพยากรณ์อากาศ กรมอุตุนิยมวิทยา เปิดเผยว่า พายุโซนร้อน “คาจิกิ” บริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง ทวีกำลังแรงเป็นพายุไต้ฝุ่น “กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตก ค่อนไปทางเหนือเล็กน้อย และมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนเข้าสู่อ่าวตังเกี๋ย ก่อนจะขึ้นฝั่งตอนบนของ ประเทศเวียดนาม และ สปป.ลาว ในช่วงวันที่ 25–26 สิงหาคมนี้ ขอบด้านหน้าของพายุ เริ่มส่งผลกระทบต่อไทยตั้งแต่วันนี้ โดยเฉพาะพื้นที่ด้านตะวันออกของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะมีเมฆฝนเพิ่มขึ้น จากนั้นจะมีฝนตก ก่อนขยายไปยังภาคกลาง รวมทั้ง กรุงเทพฯ และปริมณฑล ภาคตะวันออก และ ภาคใต้ ในช่วงวันถัดไป กรมอุตุนิยมวิทยาเตือนว่า อิทธิพลของพายุ ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ที่มีกำลังแรง จะทำให้มีฝนตกเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักถึงหนักมากในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะ […]