สยามพารากอน 15 พ.ย. – “สมคิด” ให้คลังศึกษาคงหรือปรับรูปแบบ LTF ชี้ตลาดทุนไทยยังมีโอกาสภายใต้ภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย แนะไทยเป็นศูนย์กลางระดมทุนของอาเซียน
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวเปิดงาน “มหกรรมการลงทุนแห่งปี SET in the City 2018” ว่า ได้หารือกับนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้พิจารณาว่าจะคงหรือปรับรูปแบบกองทุนรวมหุ้นระยะยาว ( LTF ) ที่จะหมดสิทธิประโยชน์ทางภาษีสิ้นปี 2562 โดยให้พิจารณาอย่างรอบคอบและเหมาะกับคนทุกวัย ทั้งวัยหนุ่มสาวและผู้สูงอายุ เพื่อให้เป็นการออมระยะยาว
ส่วนข้อเสนอของสภาธุรกิจตลาดทุนไทยที่จะออกกองทุนใหม่ โดยเน้นการลงทุนในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ ก็ได้ให้กระทรวงการคลังพิจารณา
“เรื่องกองทุน LTF ก็ยังอยากให้มีอยู่ ไม่อยากให้เลิก แต่จะเป็นรูปแบบใดให้กระทรวงการคลังไปพิจารณาดูอย่างรอบคอบให้เหมาะกับนักลงทุนทุกกลุ่ม ทั้งหนุ่มสาว ผู้สูงอายุ เพราะกองทุนลักษณะนี้ช่วยเรื่องการออมและเพิ่มจำนวนนักลงทุนใหม่” นายสมคิด กล่าว
นายสมคิด กล่าวว่า ในภาวะที่เศรษฐกิจโลกกำลังถดถอย ตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวน โดยอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่น ลดลงร้อยละ 1.2 เศรษฐกิจเยอรมนีลดลงร้อยละ 0.5 เพราะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าและยังมีความผันผวนของตลาดเงินตลาดทุนในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ (EM) แต่ตลาดทุนไทยแข็งแกร่งมาก เป็นรองแค่ญี่ปุ่น บริษัทจดทะเบียนไทยมีกำไรสุทธิโตถึงร้อยละ 10 มีเงินปันผลสูงน่าสนใจ มีสภาพคล่องสูง มีการระดมทุนผ่านตลาดทุนสูงสุดในอาเซียน ซึ่งแม้ว่าจะเกิดปัญหาเศรษฐกิจโลกหรือมีลมพายุ แต่เชื่อว่าประเทศไทยจะประคองสถานการณ์ได้และต้องมองหาโอกาสภายใต้ลมพายุนี้
นายสมคิด กล่าวว่า ในอนาคตไทยกำลังจะเป็นศูนย์กลางของ Acmecs หรือกลุ่มประเทศแม่น้ำอิรวดี เจ้าพระยาและแม่น้ำโขง ประกอบด้วย ไทย เมียนมา ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ทำให้เกิดความเชื่อมโยงด้านผลิตภาพการผลิต หรือ Productivity ซึ่งจะสร้างความน่าสนใจให้กับประเทศไทยมากขึ้น ดังนั้นไทยจะต้องเชื่อมโยงทุกประเทศเข้าด้วยกันและดึงเรื่องการลงทุนและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อให้เกิดความยั่งยืนกับเศรษฐกิจ ก็จะทำให้ GDP เติบโตได้ร้อยละ 4 – 5 อย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรีฝากให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ยกระดับเป็นศูนย์กลางการระดมทุนของอาเซียน โดยจะต้องดึงบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ทั้งในและต่างประเทศมาจดทะเบียนในประเทศไทย โดยให้ทำงานร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล ต.) กระทรวงการคลัง .-สำนักข่าวไทย