จำคุก2ปี อดีต ผบก.จว.บึงกาฬขัดระเบียบสั่งย้ายลูกน้องไม่เป็นธรรม

กรุงเทพฯ 31 ต.ค.- จำคุก2 ปี ไม่รอลงอาญา พล.ต.ต.สุภลักษณ์ วรรณฤกษ์งาม อดีต ผบก.ภ.จว.บึงกาฬ ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ สั่งย้าย ผกก.สืบสวน ขัดระเบียบตำรวจ


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถ.นครไชยศรี นัดพิพากษาคดีที่ พ.ต.อ.พิรพล อัจกลับ อายุ 57 ปี ผกก.สส.ภ.จว.บึงกาฬ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พล.ต.ต.สุภลักษณ์ วรรณฤกษ์งาม อายุ 61 ปี อดีต ผบก.ภ.จว.บึงกาฬ เป็นจำเลย ในความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นเสียหาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ ทำให้เสียหายแก่บุคคลหนึ่งบุคคลใด มาตรา 157,  เป็นเจ้าพนักงานทำให้เสียหายซึ่งเอกสารใดที่เป็นหน้าที่ของตนที่จะรักษาไว้ฯ มาตรา 158 , เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำเอกสารกรอกข้อความลงในเอกสาร กระทำการปลอมเอกสารโดยอาศัยโอกาสที่ตนมีหน้าที่ มาตรา 161 และผู้ใดใช้หรืออ้างเอกสารที่เกิดจากการปลอม ทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นฯ มาตรา 268

ตามฟ้องโจทก์เมื่อวันที่ 17 มี.ค. 2560 ระบุพฤติการณ์จำเลยสรุปว่า เมื่อวันที่ 7 พ.ค. 2558 จำเลยปฏิบัติหน้าที่มิชอบด้วยการออกคำสั่งตำรวจภูธรที่ 384/2558 ให้โจทก์ไปปฏิบัติราชการในตำแหน่ง ผกก.ฝ่ายอำนวยการตำรวจภูธรบึงกาฬ โดยให้รับผิดชอบงานฝ่ายอำนวยการและให้ขาดจากตำแหน่งสังกัดเดิม โดยไม่มีกำหนด แล้วให้ ผกก.อก.ภ.จว.บึงกาฬ ที่ปฏิบัติตำแหน่งอยู่มาดำรงตำแหน่ง ผกก.สส. แทนโจทก์ อ้างเหตุผลในคำสั่งว่าเพื่อความจำเป็นและเพื่อประโยชน์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่ตามระเบียบการให้ข้าราชการตำรวจไปปฏิบัติราชการ พ.ศ.2552 นั้น กำหนดให้ตำรวจที่จะต้องถูกสั่งนั้น ไม่ใช่ผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าหน่วยงาน และต้องดำรงตำแหน่งครั้งสุดท้ายครบ 2 ปี กับผู้ที่ออกคำสั่งสามารถให้ตำรวจผู้นั้นไปปฏิบัติราชการตามความเหมาะสมได้คราวละไม่เกิน 1 ปีโดยจำเลยทราบระเบียบดีอยู่แล้ว และก็ทราบว่าโจทก์ดำรงตำแหน่ง ผกก.สส. ดังกล่าวยังไม่ครบ 2 ปี ซึ่งตำแหน่งนั้นก็เป็นหัวหน้างานตามระเบียบ แต่จำเลยก็ยังอาศัยอำนาจความเป็นผู้บังคับบัญชาออกคำสั่งเพื่อกลั่นแกล้งโจทก์ให้ได้รับความเสียหาย และเมื่อวันที่ 21 พ.ค. 2558 จำเลยยังออกคำสั่งตำรวจภูธรจังหวัดบึงกาฬที่ 396/2558 ให้ตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงกับร้อยตำรวจโทรายหนึ่ง ตำแหน่งรอง สว.กก.สืบสวน ภ.จว.บึงกาฬ โดยอ้างว่ามีแหล่งข่าวรายงานว่าร้อยตำรวจโทคนดังกล่าวรับเงินจากผู้ค้าไม้พะยูง ซึ่งมีการอ้างเอกสารที่มีผู้ทำปลอมขึ้น แล้วจำเลยกลับส่งมอบเอกสารดังกล่าวให้กับคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง แล้วหลังจากนั้นจำเลยก็ออกคำสั่งตำรวจภูธรจังหวัดบึงกาฬที่ 397/2558 อีก ให้โจทก์ไปปฏิบัติหน้าที่ประจำศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรจังหวัดบึงกาฬ อ้างว่าได้รับหนังสือรายงานพฤติกรรมข้าราชการตำรวจสังกัดกองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดบึงกาฬ มีส่วนเกี่ยวข้องเรียกรับผลประโยชน์จากการค้าไม้พะยูง และระหว่างวันที่ 30 มิ.ย. 16 ก.ค. 2558 จำเลยยังได้แจ้งข้อความอันเป็นเท็จด้วยการมีหนังสือถึง ผบช.ภ.4 ว่าจำเลยได้สั่งย้ายโจทก์ไปประจำ ศปก.ภ.จว.บึงกาฬ เนื่องจากมีข้อร้องเรียนว่าตำรวจในสังกัดเกี่ยวข้องเรียกร้องผลประโยชน์จากการค้าไม้พะยูง ทำให้ ผบช.ภ.4 เข้าใจว่าโจทก์บกพร่องต่อหน้าที่ ทั้งที่จำเลยทราบดีอยู่แล้วว่า โจทก์กับร้อยตำรวจโทคนดังกล่าวไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเรียกร้องผลประโยชน์ และเมื่อวันที่ 8 – 24 ก.พ. 2559 จำเลยยังจัดทำเอกสารบันทึกข้อความใหม่ที่ใช้เป็นเอกสารในคดีที่โจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยไว้กับศาลจังหวัดขอนแก่นด้วย เหตุเกิดที่ ต.วิศิษฐ์ อ.เมือง จ.บึงกาฬ และ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น ต่อเนื่องกัน


โดยศาลได้เริ่มกระบวนการไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ตั้งแต่เดือน เม.ย. 2560 และได้ประทับรับฟ้องคดีไว้พิจารณา เมื่อศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานที่ทั้งสองฝ่ายนำสืบแล้วเห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์รับฟังได้ว่าจำเลยได้กระทำผิด ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบทำให้เสียหายแก่บุคคลหนึ่งบุคคลใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 พิพากษาให้จำคุกจำเลยเป็นเวลา 2 ปี ไม่มีเหตุรอการลงโทษ ส่วนข้อหาและคำขออื่นให้ยก

ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ขอปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์คดี ศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้จำเลยประกันตัวโดยตีราคาประกัน 300,000 บาท และห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล.-สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

สำนักสงฆ์หูตาทิพย์

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์”

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์” พระอ้างใช้สอนวิปัสสนากรรมฐาน เบื้องต้นอายัดไว้พิสูจน์ดีเอ็นเอ พร้อมเอาผิดหัวหน้าสำนักสงฆ์ ฐานนำศพเก็บไว้ในสถานที่ที่ไม่ใช่สุสานและฌาปนสถาน

“สนธิ” ยื่นถอด “ตั้ม-เดชา” ออกจากทนาย

“สนธิ ลิ้มทองกุล” หอบหลักฐานบุกสภาทนายความ ถอดทนายตั้ม-ทนายเดชา ออกจากทนาย ระบุ ได้รับมอบอำนาจจาก “มาดามอ้อย” แล้ว เดินหน้าเอาผิด ทนายตั้มแบบสุดซอย ไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อผู้รู้กฎหมายอีก

รัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มยูเครน

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย แถลงยืนยันว่ารัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มภาคตะวันออกยูเครนเมื่อวานนี้ ตอบโต้ที่ยูเครนใช้ขีปนาวุธที่ได้รับมอบจากสหรัฐและอังกฤษ

ข่าวแนะนำ

“เหนือ-อีสาน-กลาง” อากาศเย็น ภาคใต้ฝนตกหนัก

กรมอุตุฯ รายงานภาคเหนือ อีสาน และภาคกลาง อากาศเย็นในตอนเช้า มีฝนเล็กน้อยบางแห่ง ส่วนภาคใต้ฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ระวังน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก

โค้งสุดท้าย ศึกสองนารีชิงเก้าอี้ นายก อบจ.นครฯ

เหลือไม่ถึง 2 วันแล้ว ที่ชาวนครศรีธรรมราชจะได้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งนายก อบจ.นครฯ ศึกนี้เป็นการสู้กันเองของพรรคร่วมรัฐบาล ฝ่ายหนึ่งต้องการรักษาฐานที่มั่นไว้ให้ได้ อีกฝ่ายต้องการเจาะฐานให้แตก เพื่อหวังครองที่นั่งการเมืองระดับชาติในสมัยหน้า

ร้อนระอุโค้งสุดท้าย ศึกชิงเก้าอี้ นายก อบจ.อุดรธานี

การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ครั้งนี้ดุเดือดเกินคาด ผู้สมัครจาก 2 พรรคใหญ่ลงชิงชัย ต่างเร่งเครื่องเต็มที่ในโค้งสุดท้าย การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย.นี้ ใครจะเป็นผู้คว้าชัยชนะและสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญให้จังหวัดอุดรธานี ไปติดตามจากรายงาน

ความเห็นนักวิชาการ คดีทักษิณ

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทย ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ขณะที่นักวิชาการชี้ว่าไม่ได้พลิกไปจากความคาดหมาย และผลจากคดีนี้ ไม่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนทางการเมือง แต่ก็ยังมีจุดเสี่ยงที่ต้องระวัง