กรุงเทพฯ 19 ต.ค. – ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจฯ ออมสินคาดจีดีพีปี 61 ขยายตัวร้อยละ 4.5 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 3.9 แรงหนุนการบริโภค-ลงทุนเอกชน
นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการ ธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ ธุรกิจ และเศรษฐกิจฐานราก ธนาคารออมสิน คาดว่าเศรษฐกิจไทยไตรมาส 3 ปี 2561 จะขยายตัวที่ร้อยละ 4.3 และตลอดทั้งปี 2561 คาดว่าจะขยายตัวเร่งขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 4.5 ปรับเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 3.9 เป็นผลจากแรงส่งของการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนที่ขยายตัวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยได้รับผลดีจากภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวที่ยังคงขยายตัวต่อเนื่องตามการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก
ทั้งนี้ มีปัจจัยสนับสนุนจากเม็ดเงินจากร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2562 วงเงิน 3 ล้านล้านบาท มุ่งเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศ สร้างความสามารถในการแข่งขันและเสริมสร้างศักยภาพคนที่คาดว่าจะทยอยเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ส่งผลให้ครัวเรือนมีความเชื่อมั่นในการบริโภคมากขึ้น การลงทุนภาครัฐคาดว่าจะปรับตัวเร่งขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง เป็นผลจากการลงทุนของรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ที่ขยายตัวได้ดี ประกอบกับการลงทุนภาครัฐที่ขยายตัวจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ความชัดเจนของ พ.ร.ป. เลือกตั้งฯ ส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังคงดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเอื้อต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ขณะที่สภาพคล่องในระบบที่อยู่ในระดับสูง ทำให้ธนาคารทั้งระบบสามารถขยายสินเชื่อได้อย่างต่อเนื่อง และประเทศไทยยังเป็นเป้าหมายในการพักผ่อนของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก รวมถึงการประชุมสัมมนาต่าง ๆ ที่ขยายตัวต่อเนื่อง
สำหรับปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยปี 2561 ได้แก่ การเบิกจ่ายงบลงทุนของภาครัฐอาจต่ำกว่าเป้าหมายที่คาดไว้ เนื่องจากเป็นโครงการขนาดใหญ่มีความซับซ้อนด้านกระบวนการ รายได้ภาคครัวเรือนระดับกลางถึงล่างยังปรับตัวเพิ่มไม่มากนักเป็นแรงกดดันต่อการบริโภคภาคครัวเรือน แม้ว่าอัตราส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ จีดีพีมีแนวโน้มลดลง แต่หนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูงส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของภาคครัวเรือน การใช้มาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐอเมริกา และมาตรการตอบโต้ของประเทศคู่ค้าที่ทวีความรุนแรงส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการค้าและเศรษฐกิจโลก รวมถึงเศรษฐกิจประเทศที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิต ซึ่งอาจกระทบต่อภาคการส่งออกของไทย ทิศทางการดำเนินนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางของประเทศเศรษฐกิจหลักที่มีแนวโน้มตึงตัวมากขึ้น เป็นแรงกดดันต่อการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายของ ธปท.
ด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ดี จากดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งเป็นผลจากการเกินดุลการค้าและบริการที่ขยายตัวได้ดี ส่งผลให้ทุนสำรองระหว่างประเทศเติบโตต่อเนื่อง จากสถานะทุนสำรองฯ สุทธิสิ้นเดือนสิงหาคม 2561 อยู่ในระดับสูงที่ 7.81 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 47.6 ของจีดีพีสูงกว่าหนี้ระยะสั้นถึง 3.2 เท่า สามารถรองรับการนำเข้าเฉลี่ยสูงถึง 8.9 เดือน แสดงถึงความแข็งแกร่งของเสถียรภาพด้านต่างประเทศของไทยอยู่ในลำดับต้น ๆ ของโลก คาดว่าจะสามารถรองรับความผันผวนทางการเงินจากปัจจัยต่างประเทศได้และลดแรงกดดันต่อการดำเนินนโยบายทางการเงินแบบผ่อนคลายของ กนง. ได้อีกระยะหนึ่ง อย่างไรก็ตาม การดำเนินนโยบายทางการเงินที่เข้มงวดของธนาคารกลางของประเทศเศรษฐกิจหลักและผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้า หากมีความยืดเยื้อเกินกว่าที่คาดไว้ก็จะส่งผลให้ตลาดการเงินมีความผันผวนมากยิ่งขึ้นและอาจส่งผลต่อเสถียรภาพทางการเงินของไทยได้.-สำนักข่าวไทย