ศาลฎีกา 18 ต.ค.- องค์คณะอุทธรณ์พิพากษายืน จำคุก 10 เดือน ห้ามดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่รัฐ 5 ปี “สุพจน์ ทรัพย์ล้อม” ปกปิดและแสดงบัญชีทรัพย์สินเป็นเท็จ เป็นผู้บริหารระดับสูงทำผิดเอง แม้ไม่เคยต้องโทษ-มีคุณงามความดี แต่ไม่พอให้รอการลงโทษ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ถ.แจ้งวัฒนะ วันนี้ (18 ต.ค.) เวลา 10.00 น. องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์ ที่ได้รับเลือกจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาให้พิจารณาอุทธรณ์ มีนายไสลเกษ วัฒนพันธุ์ รองประธานศาลฎีกา เป็นเจ้าของสำนวน นัดฟังคำพิพากษาอุทธรณ์คดีหมายเลขดำ อม.27/2560 ที่ นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดคมนาคมระหว่างปี 2552-2554 ผู้คัดค้าน ยื่นอุทธรณ์ผลคำพิพากษาองค์คณะศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มติเสียงข้างมาก เมื่อวันที่ 26 ก.ย.60 ที่พิพากษาจำคุกนายสุพจน์ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 119 ฐานจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินหนี้สินและเอกสารประกอบอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงกรณีพ้นจากตำแหน่ง รวม 5 กระทง กระทงละ 2 เดือน รวมจำคุกทั้งสิ้น 10 เดือน และมีคำสั่งห้ามดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่รัฐ เป็นเวลา 5 ปี นับจากวันที่พ้นจากตำแหน่งปลัดกระทรวงคมนาคมวันที่ 18 พ.ค.55 ด้วย
โดย นายสุพจน์ ได้ประกันตัวไปในชั้นอุทธรณ์ และห้ามเดินทางออกนอกประเทศ เว้นแต่จะได้รับอนุญาต
นายสุพจน์ ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาล โดยอ้างว่า ให้พิจารณาตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 105 วรรค 3 ที่บัญญัติว่า ไม่ต้องแสดงบัญชีทรัพย์สินหลังพ้นตำแหน่ง เป็นเวลา 1 ปี แต่องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์เห็นว่า แม้กฎหมาย ป.ป.ช. พ.ศ. 2561 มาตรา 3 จะให้ยกเลิกกฎหมาย ป.ป.ช. พ.ศ. 2542 แต่มาตรา 188 บัญญัติว่า ในกรณีที่ ป.ป.ช.มีมติว่า จงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จ หรือปกปิด ก่อนที่กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญจะบังคับใช้ ก็ให้ใช้บังคับได้ กับกรณีที่มีการยื่นเรื่อง ก่อนกฎหมายใหม่จะใช้บังคับ จึงถือว่า กฎหมายเดิมมีผลบังคับใช้อยู่
องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์ยังเห็นว่า ตามกฎหมาย ป.ป.ช. พ.ศ.2542 ต้องยื่นบัญชีแสดงทรัพย์สินและเอกสารประกอบ เพื่อป้องกันเจ้าหน้าที่รัฐใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์มิชอบ แต่ข้อเท็จจริงกลับปรากฎ ว่าผู้คัดค้านไม่ได้ยื่นบัญชีทรัพย์สินทั้ง 2 รายการ ทั้งที่เป็นผู้บริหารระดับสูง ควรต้องเป็นตัวอย่างที่ดี แต่กระทำผิดเสียเอง จึงนับว่าพฤติการณ์เป็นเรื่องร้ายแรง แม้ผู้คัดค้านไม่เคยกระทำผิดมาก่อน และเคยประกอบคุณงามความดี ปฏิบัติหน้าที่ราชการจนได้รับตำแหน่งระดับสูง ยังไม่เป็นเหตุผลเพียงพอให้รอการลงโทษ
อุทธรณ์ของผู้คัดค้าน และคำขอให้ลงโทษสถานเบา และรอการลงโทษ ฟังไม่ขึ้นพิพากษายืนให้จำคุก 10 เดือน และห้ามดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ 5 ปี และให้คืนหลักประกัน 2 ล้านบาทกับผู้คัดค้าน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลัง เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ได้ควบคุมตัวนายสุพจน์ขึ้นรถเรือนจำไปควบคุมต่อ ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เพื่อรับโทษตามคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดแล้ว ทางครอบครัวและญาติ ที่เดินทางมาให้กำลังใจ ร่ำไห้ เข้าไปกอดนายสุพจน์พร้อมพูดคุย ขณะที่ นายสุพจน์ก็มีสีหน้าเศร้า น้ำตานอง พูดปลอบใจครอบครัวด้วยว่า “แป๊บเดียว” ก่อนถอดสิ่งของมีค่าฝากให้ครอบครัว เพราะหลังจากนี้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จะนำคุมตัวไปคุมขังรับโทษยังเรือนจำตามคำพิพากษาด้วยรถพยาบาล
สำหรับกรณีดังกล่าวคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นผู้ร้อง ให้ศาลวินิจฉัยข้อกล่าวหา จงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน และเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หลังจากเมื่อ พ.ศ. 2555 ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดข้อกล่าวหานายสุพจน์ มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ และจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินเท็จเกี่ยวกับเงินจำนวน 17,553,000 บาทเศษ และรถโฟลค์สวาเกน (Volk Swagen) ทะเบียน ฮต 8822 กทม. รวมมูลค่าทั้งสิ้น 20,473,000 บาท สืบเนื่องจากหลังเกิดเหตุคนร้ายบุกปล้นบ้านนายสุพจน์ ในซอยลาดพร้าว 64 เมื่อค่ำวันที่ 12 พ.ย.54 ซึ่งผู้ที่ร่วมทำผิดให้การเกี่ยวกับทรัพย์สินว่า พบเงินสดในบ้านนายสุพจน์นับร้อยล้านบาท โดยนายสุพจน์ ไม่สามารถชี้แจงที่มาของเงิน 17 ล้านบาทเศษ และรถโฟลค์สวาเกน (Volk Swagen) ทะเบียน ฮต 8822 กทม.ได้ ..- สำนักข่าวไทย