บาหลี 11 ต.ค.-นายกฯ กล่าวถ้อยแถลงเวที ALG เน้น 3 แนวทางส่งเสริมเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ-การเงินของภูมิภาคและของโลก เน้นความเชื่อมโยง ความเท่าเทียม บรรลุเป้าหมายการพัฒนายั่งยืน พร้อมเสนอตัวจัดประชุมระดับเจ้าหน้าที่กับ 3 องค์การระหว่างประเทศพัฒนาทุนมนุษย์
“ชาตรี แสงเพ็ง” ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวไทย ติดตามภารกิจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ร่วมการประชุม ASEAN Leaders’ Gathering (ALG) ที่เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย รายงานว่า เวลา 17.30 น.ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งเร็วกว่าประเทศไทย 1 ชั่วโมง นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว ซึ่งเป็นการประชุมระดับผู้นำอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการกับผู้นำองค์การระหว่างประเทศที่สำคัญ คือเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ กรรมการผู้จัดการกองทุนระหว่างประเทศ และประธานธนาคารโลกเข้าร่วมด้วยที่โรงแรม Sofitel Nusa Dua Bali สาธารณรัฐอินโดนีเซีย
นายกรัฐมนตรี กล่าวถ้อยแถลงหัวข้อ การเอาชนะช่องว่างการพัฒนา และขยายช่องว่างการพัฒนาผ่านกิจกรรมความร่วมมือระดับภูมิภาคและทั่วโลก : Achieving SDGs and Overcoming Development Gap through Regional and Global Collaborative Actions โดยกล่าวถึงพัฒนาการของอาเซียนว่า อาเซียนเติบโตอย่างมากตลอด 20 ปีที่ผ่านมา แต่ปัจจุบันกำลังเผชิญกับความท้าทายจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4 ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งภูมิรัฐศาสตร์ ด้านเศรษฐกิจ สภาพภูมิอากาศ และเทคโนโลยี จึงจำเป็นต้องเสริมสร้างหุ้นส่วนระหว่างอาเซียนกับสหประชาชาติ (UN) กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารโลก (World Bank) ให้เข้มแข็งมากขึ้นใน 3 ประเด็นหลัก
“ประการแรก คือการส่งเสริมเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเงินระหว่างภูมิภาคและระดับโลก ซึ่งทุกฝ่ายต้องไม่สนับสนุนนโยบายกีดกันทางการค้า และคำนึงถึงความท้าทายที่กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ต้องเผชิญ รวมทั้งสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินขององค์การระหว่างประเทศโดยเฉพาะการเพิ่มสิทธิออกเสียงให้กับกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ในการส่งเสริมบทบาทการรักษาความมั่นคงของระบบการเงินโลกร่วมกัน” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ประการที่สอง การสร้างความเชื่อมโยง อาเซียนจำเป็นต้องสร้างความเชื่อมโยงระหว่างกันอย่างไร้รอยต่อ ทั้งความเชื่อมโยงทางกายภาพ (hard connectitvity) โดยเฉพาะด้านโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมขนส่ง และความเชื่อมโยงที่จับต้องไม่ได้ (soft connectitvity) อาทิ ความเชื่อมโยงทางดิจิทัล กฎระเบียบ และระหว่างประชาชนกับประชาชน ซึ่งจะต้องดำเนินการอย่างเป็นระบบและเกิดผลเป็นรูปธรรม พร้อมกับให้ความสำคัญในการเชื่อมโยงกับกรอบความร่วมมืออื่นๆ อาทิ ยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (ACMECS) แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (IMT-GT) Belt and Road Initiative ของจีน และ Quality Infrastructure ของญี่ปุ่น ที่จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับอาเซียน ทั้งนี้ องค์การระหว่างประเทศสามารถเข้ามาสนับสนุนการศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้อาเซียนเกิดความเชื่อมโยงที่มีประสิทธิภาพและครอบคลุมในทุกด้านด้วยได้
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ประการสุดท้าย การพัฒนาที่ยั่งยืน โดยการขับเคลื่อนความเชื่อมโยงระหว่างการบรรลุวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน 2025 กับวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน 2030 เพื่อให้อาเซียนเป็นประชาคมที่เน้นประชาชนเป็นศูนย์กลาง ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และสามารถบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ในระดับโลก ซึ่งขณะนี้ได้สร้างหุ้นส่วนกับสหประชาชาติและธนาคารโลกในการพัฒนาโครงการความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมที่จะช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ ด้านการพัฒนา และคุณภาพการศึกษา เพื่อยกระดับคุณภาพทรัพยากรมนุษย์ ผลิตและพัฒนากำลังคนให้สอดคล้องกับตลาดแรงงาน ซึ่งการพัฒนาทุนมนุษย์เป็นหัวใจการพัฒนาที่ยั่งยืนและเป็นประเด็นที่ธนาคารโลกให้ความสำคัญ
“ไทยจึงขอเชิญชวนทั้งธนาคารโลก ไอเอ็มเอฟ และสหประชาชาติร่วมพัฒนามนุษย์ และขอเสนอให้มีการหารือระหว่างเจ้าหน้าที่อาวุโสในเบื้องต้น โดยไทยพร้อมเป็นเจ้าภาพการหารือในรูปแบบความร่วมมือทวิภาคีกับธนาคารโลก ไอเอ็มเอฟ และสหประชาชาติ หรือรูปแบบพหุภาคีระหว่างอาเซียนกับทั้งสามองค์กรซึ่งเชื่อว่าจะตอบโจทย์การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน” นายกรัฐมนตรี กล่าว
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวในนามของรัฐบาลและประชาชนไทยแสดงความเสียใจต่อความสูญเสียจากเหตุแผ่นดินไหวและสึนามิที่เกาะสุลาเวสี พร้อมทั้งส่งความปรารถนาดีและแรงใจจากชาวไทยให้อินโดนีเซียกลับคืนสู่ภาวะปกติโดยเร็ว
ทั้งนี้ ก่อนการประชุม ผู้นำได้ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกร่วมกันบริเวณริมหาดทราย จากนั้น จึงเข้าร่วมการประชุม ASEAN Leaders’ Gathering (ALG) ซึ่งนอกจากผู้นำอาเซียนแล้ว ยังมีเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ กรรมการผู้จัดการกองทุนระหว่างประเทศ และประธานธนาคารโลกเข้าร่วมประชุมด้วย และหลังจากเสร็จสิ้นการประชุม นายกรัฐมนตรีจะร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำ โดยนายโจโค วิโดโด ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย เป็นเจ้าภาพ จากนั้น เวลาประมาณ 20.30 น.นายกรัฐมนตรีและคณะเดินทางกลับโดยเครื่องบินกองทัพอากาศ ถึงประเทศไทยเวลา 00.05 น.(12 ต.ค.).- สำนักข่าวไทย
