ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ 14 ก.ย.- นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เปิดงานก่อสร้างโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 วงเงิน 5.5 หมื่นล้านบาท เวลาก่อสร้าง 3 ปี เป้าหมายเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวและ ผู้โดยสารเพิ่มขึ้น เป็น 60 ล้านคนต่อปี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คศช.) เป็นประธานในพิธีเปิดงานก่อสร้างโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 โดยมีนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และผู้บริหารกระทรวงคมนาคม ผู้บริหาร ทอท. เข้าร่วมในพิธี ณ พื้นที่ก่อสร้างบริเวณทางด้านทิศใต้ของอาคารผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้รับวงเงิน 55,012 ล้านบาท มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ให้สามารถรองรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้นอีก 15 ล้านคนต่อปี จากเดิม 45 ล้านคนต่อปีเป็น 60 ล้านคนต่อปี ซึ่งประกอบด้วยงานก่อสร้างส่วนขยายอาคารผู้โดยสารทางทิศตะวันออก กลุ่มงานก่อสร้างอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 กลุ่มงานก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคและงานจ้างที่ปรึกษาบริหารจัดการโครงการ โดยจะแล้วเสร็จทั้งโครงการ ภายในเดือนพฤศจิกายน ปี 2562 รวมระยะเวลาก่อสร้าง 3 ปี
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การขยายท่าอากาศยานครั้งนี้ จะส่งผลดีต่อประเทศ เพื่อรองรับการเชื่อมโยงกับต่างประเทศ และรองรับนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นอยากให้ทุกคนคำนึงถึงประโยชน์โดยรวมของประเทศให้มากที่สุด ทั้งนี้ รัฐบาลนี้มีแผนแม่บทและยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ให้รัฐบาลต่อไปมาดำเนินงานต่อ ซึ่งแผนแม่บทจะมีมาตรการติดตามงาน ดังนั้นประชาชนสามารถติดตามการดำเนินงานตามแผนงานของรัฐบาลที่จะมารับช่วงต่อไปได้ ทั้งนี้รัฐบาลมีแผนที่จะพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และแก้ปัญหากลุ่มผู้มีอิทธิพลในพื้นที่สนามบินดอนเมืองด้วย ซึ่งทุกอย่างต้องเป็นไปอย่างโปร่งใส
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า รัฐบาลบริหารประเทศ มองไปในอนาคต ดังนั้นทุกคนจะต้องร่วมมือกันในการเดินหน้าประเทศให้มีศักยภาพ โดยเฉพาะสนามบิน ถือว่ามีความสำคัญในการรองรับนักท่องเที่ยว ขณะเดียวกันประชาชนต้องปรับตัวรองรับการท่องเที่ยว เพื่อให้มีรายได้เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังระบุว่าการเข้ามาบริหารงานในสองปี เชื่อว่าทุกคนได้อดทนในการทำงาน โดยเฉพาะ ทอท. ที่จะต้องมีการวางแผนพัฒนาในระยะยาว รวมถึงการมองการเกิดขึ้นของเมืองใหม่ รัฐบาลจะสนับสนุนในทุกมิติ และขณะนี้ต่างประเทศมีความไว้เนื้อเชื่อใจไทยมากขึ้น เชื่อว่าการทำงานของตนไม่น้อยหน้าใครในโลก และวันนี้อยากให้ทุกคนมีจิตใจที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีคุณธรรมจริยธรรม ร่วมกันทำความดี .-สำนักข่าวไทย