ท่าพระจันทร์ 15 ก.ย. – คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) จัดงานเสวนาวิชาการ “พระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างฯ กับผลกระทบต่อหน่วยงานภาครัฐ” ซึ่งขณะนี้ร่างพระราชบัญญัติอยู่ระหว่างพิจารณาสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) นายสุรพล นิติไกรพจน์ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ต้องการให้รัฐบาลนำร่างพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐกลับไปพิจารณาใหม่ เพราะร่างกฎหมายนี้เป็นหลักการที่ผิดพลาดไม่เข้าใจระบบการจัดองค์กรของรัฐในประเทศไทย เนื่องจากร่างกฎหมายนี้รวมศูนย์อำนาจการจัดซื้อจัดจ้างไว้ที่กระทรวงการคลังแต่เพียงแห่งเดียวในรูปแบบคณะกรรมการ 5 ชุด หากรัฐบาลอีกหลายรัฐบาลต้องการจะทุจริตเชิงนโยบายก็สามารถสั่งการกระทรวงการคลังได้ ดังนั้น ประเทศไทยจะกระจายอำนาจ และมีองค์กรอิสระไปเพื่ออะไร และจะเกิดอะไรขึ้นกับประเทศ
นายสุรพล กล่าวว่า ร่างพระราชบัญญัติปัจจุบันครอบคลุมเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างหน่วยงานของรัฐทุกประเภท จากเดิมใช้บังคับเฉพาะส่วนราชการเท่านั้น ซึ่งจะครอบคลุมตั้งแต่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ องค์การมหาชนประมาณ 60 แห่ง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.) 7,000 แห่ง มหาวิทยาลัยในกำกับ ประการสำคัญรวมถึงเงินทุกประเภท จากเดิมเฉพาะเงินกู้ เงินงบประมาณ และเงินช่วยเหลือเท่านั้น ซึ่งแม้จะมีพระราชบัญญัติเป็นการเฉพาะ เช่น เงินของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ที่ไม่ต้องส่งเข้าคลังก็จะต้องถูกนับรวมด้วย นอกจากนี้ ยังจะส่งผลกระทบกับการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจกับหน่วยงานภาครัฐอื่น เพราะกำหนดให้มีคณะกรรมการ 5 ชุด โดยเฉพาะคณะกรรมการราคากลางและขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการ ทำให้การขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการของทุกหน่วยงาน เช่น การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) หรือหน่วยงานอื่น ๆ ต้องใช้ตามที่คณะกรรมการชุดนี้ประกาศขึ้นทะเบียนไว้เท่านั้น ส่วนบทลงโทษหากทำผิดจะมีการลงโทษอาญาจำคุกขั้นต่ำ 1-10 ปี โดยไม่รอลงอาญา และต้องยุติการปฎิบัติราชการ ซึ่งกว่าจะทราบผลการพิจารณาก็ผ่านไป 4-5 ปี
นายสราวุธ เบญจกุล รองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างฯ ดังนั้น รัฐบาลน่านำกลับไปทบทวนว่าร่างพระราชบัญญัติจัดซื้อจัดจ้างฯ สามารถที่จะแก้ไขปัญหาได้หรือไม่ เพราะเชื่อว่าจะเกิดปัญหาตามมาจากการใช้กฎหมายอีกมากมายและเกิดความเสียหายยากที่จะแก้ไข เพราะพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างฯ กำหนดให้ทุกหน่วยงานของรัฐ เช่น รัฐวิสาหกิจ ต้องปฎิบัติตามโดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจ เพราะเชื่อว่าจะทำให้เกิดปัญหาตามมา ทำให้ภาครัฐเสียโอกาสในการได้รับสินค้าและบริการ และกฎกติกาที่เขียนไว้ให้รัฐวิสาหกิจต้องทำตามจะทำให้ต้องซื้อของแพง ดังนั้น การกำหนดหน่วยงานทั้งหมดเข้ามานั้น เห็นว่าไม่สอดคล้องกับการดำเนินการปกติ เพราะขณะนี้กฎหมายหลายฉบับของประเทศล้าหลัง เช่น ด้านการเงินไปถึงการเงินสมัยใหม่อย่างฟินเทคแล้ว และยังส่งผลให้งานด้านจัดซื้อจัดจ้างไม่มีเจ้าหน้าที่อยากรับทำหน้าที่นี้ เพราะเสี่ยงถูกร้องเรียนมาก
นอกจากนี้ กฎหมายน่าเขียนกำหนดให้ความคุ้มครองเจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่ เช่น มาตรา 44 ที่เจ้าหน้าที่ผู้ปฎิบัติไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่งและอาญา และเห็นว่าคณะกรรมการ 5 ชุด โดยเฉพาะคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จะมีคดีจำนวนมาก จากที่ปัจจุบันมีประมาณ 1.5 ล้านคดีมีมากพอพิจารณาทั้งปีอยู่แล้ว
นายสืบพงษ์ บูรณศิรินทร์ รองผู้ว่าการ กฟผ. กล่าวว่า ปี 2559 กฟผ.มีการจัดซื้อจัดจ้างเกือบ 6,000 ล้านบาท สัญญาจัดซื้อจัดจ้างกว่า 50,000 ฉบับ มีมากกว่า 100,000 รายการ และอยู่ระหว่างดำเนินการอีกนับ 100,000 ล้านบาท การจัดซื้ดจัดจ้างถือว่ามีความสำคัญต่อการดำเนินงานของ กฟผ.อย่างมาก พระราชบัญญัติจัดซื้อจัดงานฯ ทั้งหมดถือเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่ กฟผ.มีข้อกังวลใจ เพราะกฎหมายไม่ระบุทุกเรื่อง ยังจำเป็นที่จะต้องออกฎหมายลูกอีกหลายเรื่อง กฟผ.นอกจากมีงานผลิตไฟฟ้าที่ต้องซื้อขายและไม่เหมือนสินค้าอื่น ๆ เนื่องจากเมื่อผลิตแล้ว ต้องจ่ายกระแสไฟฟ้าเข้าระบบทันที หรือไม่ก็ต้องแปรสภาพ การซื้อขายจึงไม่เป็นแบบปกติทั่วไป การซื้อขายพลังงานไฟฟ้าน่าจะอยู่ในมาตรา 7 ที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องปฎิบัติตามพระราชบัญญัติ นอกจากนี้ บริษัทลูก กฟผ.คือ บริษัท กฟผ.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ขายพลังงานกลับมาในประเทศการเจรจากับต่างประเทศมีข้อกังวลห่วงใยจะทำอย่างไร นอกจากนี้ การจะมีบริษัทลูกของบริษัทลูกจะเข้าระบบด้วยจะทำงานให้ได้อย่างไร กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างผูกระบบเดียวไม่มั่นใจว่าจะทำอย่างไร กิจกรรมต่าง ๆ จะเหมือนกันทุกอย่างเป็นเรื่องยาก
นายมณเทียร เจริญผล รองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)ห่วงว่าการอุทธรณ์ของผู้เจตนาทุจริตจะทำให้เกิดปัญหาตามมามาก เพราะการพิจารณาไม่ง่าย หากมีการร้องเรียนทุกเรื่องจะทำอย่างไร ปัจจุบันเจ้าหน้าที่มีงานทำมากอยู่แล้ว นอกจากนี้ ยังมีปัญหาตามมาจากการตีความที่ต่างกัน ดังนั้น การบริหารสัญญาจึงเป็นเรื่องใหญ่อีกเรื่องในประเทศ เพราะมักมีการตีความที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม
พระราชบัญญัติจัดซื้อจัดจ้างจัดฯ จะแก้ไขปัญหาได้บางเรื่อง ราคากลางที่ออกมาจะสามารถคุมได้ทุกสินค้าหรือไม่ การที่ประชาชนมีส่วนร่วมที่ผ่านมา พบว่าประชาชนเสนอแนะแล้วแม้ราคาลดได้ก็จริง แต่มีเรื่องอื่นตามมาประชาชนไม่ทราบ เป็นต้น
นายประสาท พงษ์สุวรรณ ตุลาการศาลปกครองสูงสุด กล่าวว่า น่าจะทบทวนกฎหมายฉบับนี้โดยรัฐบาลเพราะหากปล่อยให้เดินหน้าต่อไปภายใต้การดำเนินงานของคณะกรรมาธิการต่อไปการแก้ไขร่างกฎหมายฉบับนี้คงเป็นไปได้ค่อนข้างยาก เพราะจากการติดตามร่างพระราชบัญญัติจัดซื้อจัดจ้างฯ มาอย่างต่อเนื่องพบว่ามีสิ่งน่ากังวลแบ่งเป็น 2 เรื่องหลัก เรื่องแรกเห็นว่าเป็นโครงสร้างกฎหมายที่ใหญ่และกระทบโครงสร้างอิสระที่อยู่นอกระเบียบจัดซื้อจัดจ้างมาก่อน ซึ่งในส่วนของทางศาลปกครอง จึงเห็นควรเสนอให้ตัดหน่วยธุรการของศาลออกไปซึ่งที่จริงอยากจะเสนอหลายหน่วยงานด้วยว่าไม่ต้องเข้ามาอยู่ในพระราชบัญญัติจัดซื้อจัดจ้าง เรื่องที่ 2 คือ ร่างกฎหมายจัดซื้อจัดจ้าง กำหนดว่าหากมีการยกเลิกการจัดซื้อจัดจ้าง คู่สัญญา จะไม่สามารถเรียกร้องค่าเสียหายจากรัฐได้ และยังห้ามอุทธรณ์ ซึ่งเท่ากับไม่สามารถฟ้องคดีได้ เพราะจะกระทบสิทธิเสรีภาพประชาชน เป็นต้น
นายบุญทิพย์ ชูโชนาค ผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ กล่าวว่า พระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างฯ ต้องการให้การจัดซื้อจัดจ้างเป็นมาตรฐานเดียวกันจากที่ปัจจุบันแตกต่างกันแต่ละหน่วยงาน เน้นเปิดเผยข้อมูลทุกเรื่องให้สาธารณชนเข้ามามีส่วนตรวจสอบ พร้อมเปิดให้มีการแข่งขันกันอย่างเสรี เพื่อให้การจัดซื้อจัดจ้างลดปัญหาการทุจริตให้ประชาชนเข้ามาตรวจสอบ เน้นความคุ้มค่า ตอบโจทย์นำมาใช้ราชการอย่างมีประสิทธิภาพ โดยบังคับใช้กับหน่วยงานภาครัฐทุกแห่ง ยกเว้นตามมาตรา 7 เช่น รัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวกับการพาณิชย์โดยตรง ซึ่งรัฐวิสาหกิจหลายแห่งมีปัญหา โดยรัฐวิสาหกิจต้องการกำหนดให้ชัดเจนในพระราชบัญญัติ พระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างกำหนดให้มีคณะกรรมการ 5 คณะได้แก่ คณะกรรมการนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ คณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ คณะกรรมการราคากลางและขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการ คณะกรรมการความร่วมมือป้องกันการทุจริต และคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์
ทั้งนี้ ตาม พ.ร.บ.ฉนับนี้จะเริ่มขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการ โดยจะเริ่มจากผู้ประกอบการงานก่อสร้าง ปัจจุบันแม้จะมีการขึ้นทะเบียนแต่มาตรฐานการจัดชั้นต่างกัน กรมบัญชีกลางจะดูแลรับผิดชอบขึ้นทะเบียนกลางทั้งหมด พร้อมมีการประเมินผลงานที่รับไปทำ หากงานไม่ผ่านจะไม่ให้ยื่นเสนอราคารับงานจากภาครัฐไว้ชั่วคราว.-สำนักข่าวไทย