สมอ.ลุยตรวจห้างคุมเข้มเครื่องใช้ไฟฟ้ามาตรฐาน มอก.

ห้างพันธุ์ทิพย์พลาซ่า 11 ก.ย. – สมอ.ตรวจจับสินค้าไม่ได้มาตรฐาน มอก. พบเพียงปลั๊กพ่วงที่ไม่ได้ตามมาตรฐานบังคับ วางแผนปูพรมตรวจ 50 ห้างให้เสร็จภายในเดือนตุลาคมนี้  


นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธานปล่อยคาราวานเจ้าหน้าที่สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ปูพรมตรวจสินค้าอุตสาหกรรมที่มีมาตรฐานบังคับจำหน่ายภายในร้านในศูนย์การค้าทั้งในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้า การลงพื้นที่ตรวจวันนี้  (11 ก. ย.) สมอ.ไปตรวจที่ห้าง เจ.เจ.มอลล์ สวนจตุจักร ห้างพันธุ์ทิพย์พลาซ่า ประตูน้ำ ห้างเซ็นเตอร์วัน และห้างเซ็นจูรี่ ย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ซึ่งทีมข่าวสำนักข่าวไทยตามการออกตรวจที่ห้างพันธุ์ทิพย์พลาซ่า

นายวันชัย พนมชัย รองเลขาธิการ สมอ. นำทีมเจ้าหน้าที่ออกตรวจพบเพียงปลั๊กพ่วงที่มีคุณภาพไม่เป็นไปตามมาตรฐานบังคับ ซึ่งสมอ.กำหนดมาตรฐานบังคับเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2561 แต่ปลั๊กพ่วงที่วางจำหน่ายเป็นสินค้าที่ผลิตหรือนำเข้ามาก่อนหน้าวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2561 ซึ่ง สมอ.ยังให้เวลาผู้จำหน่ายปรับตัวระบายสตอกสินค้าเดิมระยะหนึ่ง แต่ต้องไม่มีสินค้าใหม่ที่ไม่ได้มาตรฐานนำเข้ามาเพิ่มอีก ส่วนสินค้าอื่น ๆ ที่จำหน่ายไม่พบว่ามีการจำหน่ายสินค้าไม่เป็นไปตามมาตรฐานบังคับของ สมอ. แต่อย่างใด โดยตั้งเป้าตรวจเสร็จ 50 ห้างภายในเดือนตุลาคมนี้  ล่าสุดพบไดร์เป่าผมไม่ได้มาตรฐาน แต่ไม่สามารถยึดได้ เพราะไม่พบเจ้าของร้าน


นายอภิจิณ โชติกเสถียร เลขาธิการ สมอ. กล่าวว่า สมอ.มีแผนการตรวจร้านจำหน่ายทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเดือนกันยายนถึงธันวาคมปีนี้จะลงพื้นที่ตรวจห้างสรรพสินค้าในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลกว่า 50 แห่ง โดยมุ่งเน้นกลุ่มสินค้าที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ปลั๊กพ่วง สายไฟ ของเล่น หมวกกันน็อก เป็นต้น ทั้งนี้ ขอเตือนไปยังผู้ประกอบการทั้งผู้ทำและผู้จำหน่ายต้องจำหน่ายสินค้าที่ได้มาตรฐาน เพราะ สมอ.จะดำเนินการอย่างเข้มงวดกับผู้ประกอบการที่ฝ่าฝืนกฎหมาย

ปัจจุบัน สมอ.กำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม 109 รายการ ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน หรือมาตรฐานบังคับ เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับความปลอดภัยและป้องกันความเสียหายอาจจะเกิดต่อชีวิตและทรัพย์สินและเศรษฐกิจของประเทศ ส่วนบทลงโทษในกรณีทำหรือนำเข้าผลิตภัณฑ์โดยไม่ได้รับใบอนุญาต มีโทษจำคุกไม่เกิน  2 ปี ปรับไม่เกิน 1,000,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ร้านค้าที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับตั้งแต่ 5,000-50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยไม่ได้รับอนุญาตมีโทษจำคุก 3 เดือนปรับตั้งแต่ 100,000 บาทถึง 1 ล้านบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ดังนั้นขอให้ประชาชนตรวจสอบข้อมูลผลิตภัณฑ์ก่อนซื้อและอย่าหลงเชื่อซื้อผลิตภัณฑ์ที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานเพราะเมื่อใช้แล้วอาจเกิดอันตรายจากการใช้ผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ได้. – สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

สำนักสงฆ์หูตาทิพย์

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์”

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์” พระอ้างใช้สอนวิปัสสนากรรมฐาน เบื้องต้นอายัดไว้พิสูจน์ดีเอ็นเอ พร้อมเอาผิดหัวหน้าสำนักสงฆ์ ฐานนำศพเก็บไว้ในสถานที่ที่ไม่ใช่สุสานและฌาปนสถาน

“สนธิ” ยื่นถอด “ตั้ม-เดชา” ออกจากทนาย

“สนธิ ลิ้มทองกุล” หอบหลักฐานบุกสภาทนายความ ถอดทนายตั้ม-ทนายเดชา ออกจากทนาย ระบุ ได้รับมอบอำนาจจาก “มาดามอ้อย” แล้ว เดินหน้าเอาผิด ทนายตั้มแบบสุดซอย ไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อผู้รู้กฎหมายอีก

รัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มยูเครน

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย แถลงยืนยันว่ารัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มภาคตะวันออกยูเครนเมื่อวานนี้ ตอบโต้ที่ยูเครนใช้ขีปนาวุธที่ได้รับมอบจากสหรัฐและอังกฤษ

ข่าวแนะนำ

โค้งสุดท้าย ศึกสองนารีชิงเก้าอี้ นายก อบจ.นครฯ

เหลือไม่ถึง 2 วันแล้ว ที่ชาวนครศรีธรรมราชจะได้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งนายก อบจ.นครฯ ศึกนี้เป็นการสู้กันเองของพรรคร่วมรัฐบาล ฝ่ายหนึ่งต้องการรักษาฐานที่มั่นไว้ให้ได้ อีกฝ่ายต้องการเจาะฐานให้แตก เพื่อหวังครองที่นั่งการเมืองระดับชาติในสมัยหน้า

ร้อนระอุโค้งสุดท้าย ศึกชิงเก้าอี้ นายก อบจ.อุดรธานี

การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ครั้งนี้ดุเดือดเกินคาด ผู้สมัครจาก 2 พรรคใหญ่ลงชิงชัย ต่างเร่งเครื่องเต็มที่ในโค้งสุดท้าย การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย.นี้ ใครจะเป็นผู้คว้าชัยชนะและสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญให้จังหวัดอุดรธานี ไปติดตามจากรายงาน

ความเห็นนักวิชาการ คดีทักษิณ

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทย ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ขณะที่นักวิชาการชี้ว่าไม่ได้พลิกไปจากความคาดหมาย และผลจากคดีนี้ ไม่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนทางการเมือง แต่ก็ยังมีจุดเสี่ยงที่ต้องระวัง