ก.คลัง 30 ส.ค. – คลังเผยหลายปัจจัยบวกหนุนเศรษฐกิจเดือนกรกฎาคม ดันจีดีพีโตต่อเนื่อง ภาษีมูลค่าเพิ่มขยายตัวถึงร้อยละ 18.2 สูงสุดในรอบ 68 เดือน คาด กนง.ขยับดอกเบี้ย
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน ในฐานะโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจการคลังเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาหลายปัจจัยบวกหนุนเศรษฐกิจไทยขยายตัวดีต่อเนื่อง ประกอบด้วย ปัจจัยด้านการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวได้ดี สะท้อนจากยอดจำหน่ายรถยนต์นั่งขยายตัวร้อยละ 21.4 รายได้เกษตรกรดีขึ้นจากราคาข้าวเปลือก ปาล์มน้ำมัน ข้าวโพด ปรับสูงขึ้น แม้ราคายางยังไม่สูงมากนัก เมื่อประชาชนมีกำลังซื้อส่งผลต่อภาษีมูลค่าเพิ่มขยายตัวถึงร้อยละ 18.2 สูงสุดในรอบ 68 เดือน
ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ระดับ 69.1 สูงสุดในรอบ 42 เดือน การส่งออกขยายตัวดีมีมูลค่า 20.4 พันล้านดอลลาร์ ขยายตัวร้อยละ 8.3 ต่อปี นับว่าขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 17 ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 20.9 พันล้านดอลลาร์ ขยายตัวร้อยละ 10.5 ต่อปี การลงทุนของภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรขยายตัวดีจากการเพิ่มขึ้นของยอดขายรถยนต์เชิงพาณิชย์ร้อยละ 28.8 เสถียรภาพภายในประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนกรกฎาคมร้อยละ 1.5 ต่อปี หนี้สาธารณะต่อจีดีพี ณ สิ้นเดือนมิถุนายนร้อยละ 41 ต่อจีดีพี อยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่ตั้งเพดานไว้ไม่เกินร้อยละ 60 ต่อจีดีพี ในครึ่งปีหลังคาดว่าการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ ภาคเอกชนจะปรับสูงขึ้น
นายศรพล ตุลยะเสถียร ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สศค. กล่าวว่า ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นและผันผวนสูงในช่วงที่ผ่านมา จากปัจจัยความไม่แน่นอนต่างประเทศ โดยเฉพาะสงครามการค้าสหรัฐ-จีน และการส่งสัญญาณปรับดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และการที่กระแสเงินทุนไหลเข้าไทยจนทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แสดงความเป็นห่วงเงินไหลออกทั้งตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ สำหรับประเทศไทยเป็นการไหลจากตลาดหุ้นเข้าสู่ตลาดพันธบัตร นับว่าตลาดยังมีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทย
สำหรับแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของไทย หลังจากผู้ว่าการ ธปท.ส่งสัญญาณชัดเจนว่านโยบายดอกเบี้ยแบบผ่อนคลายพิเศษมีความจำเป็นน้อยลงอาจต้องมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายขึ้นบ้างเล้กน้อย โดยมองว่าคงไม่กระทบภาพรวมขณะนี้ เพราะเป็นการปรับเพิ่มจากดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำมากในปัจจุบันที่ระดับร้อยละ 1.5 .-สำนักข่าวไทย