ศาลฎีกานักการเมืองฯ 29 ส.ค.-ศาลฎีกานักการเมืองฯยกฟ้องทักษิณคดีฟื้นฟูบริษัททีพีไอ ไม่ปรากฎหลักฐานแสวงหาผลประโยชน์
องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนัดอ่านคำพิพากษาคดีที่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช. ) เป็นโจทย์ยื่นฟ้องนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กรณีเห็นชอบให้กระทรวงการคลังเข้าไปเป็นผู้บริหารฟื้นฟูกิจการของบริษัทอุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทีพีไอ ซึ่งเป็นบริษัทเอกชน ทั้งที่ไม่มีอำนาจเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ระบบราชการ
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าการประสบปัญหาด้านการเงินของบริษัททีพีไอไม่ได้มาจากการบริหารที่ผิดพลาด แต่มีผลมาจากการประกาศนโยบายลอยตัวค่าเงินบาทของรัฐบาลในขณะนั้น ซึ่งบริษัททีพีไอมีทุนประกอบกิจการด้วยการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินต่างประเทศและในประเทศหลายสถาบัน โดยมีธนาคารกรุงเทพเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ และเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 มีการประกาศปรับปรุงระบบการแลกเปลี่ยนเงินตราแบบลอยตัว ส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงอย่างหนัก เป็นจุดเริ่มต้นวิกฤตเศรษฐกิจ และส่งผลกระทบต่อการประกอบธุรกิจของทีพีไออย่างรุนแรง ทำให้หนี้สินเพิ่มขึ้นรวมกว่า 130,000 ล้านบาท
สหภาพแรงงานของทีพีไอ ยื่นหนังสือถึงรัฐบาลให้เข้ามาแก้ไขปัญหา ซึ่งการที่กระทรวงการคลังเข้าไปเป็นผู้บริหารแผนฯ มาจากเจ้าหนี้คือธนาคารกรุงเทพ มีมติพิเศษเลือกให้กระทรวงการคลังซึ่งเป็นคนกลางเข้ามาเป็นผู้บริหารแผน จึงถือว่าเจ้าหนี้และลูกหนี้ให้ความยินยอม และศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งแต่งตั้งกระทรวงการคลังเป็นผู้บริหารแผนคนใหม่ตามมติที่ประชุมเจ้าหนี้ ทั้งนี้ แม้ไม่มีกฎหมายให้อำนาจกระทรวงการคลังเข้าไปฟื้นฟูกิจการของเอกชน แต่กระทรวงการคลังมีหน้าที่กำกับดูแลการเงิน การคลังของประเทศ หากไม่เข้าไปแก้ไขจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม เพราะบริษัททีพีไอถือเป็นบริษัทด้านปิโตรเคมีและพลังงานขนาดใหญ่ของประเทศ มีพนักงานกว่า 7,000 คน ประกอบกับศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งแต่งตั้งกระทรวงการคลังเป็นผู้บริหารแผนคนใหม่ตามมติที่ประชุมเจ้าหนี้
การที่กระทรวงการคลังเข้ามาเป็นผู้บริหารแผน เกิดจากความตกลงยินยอมของเจ้าหนี้และลูกหนี้ ประกอบดุลพินิจของศาลล้มละลายกลางเฉพาะคดีเพื่อปกป้องเศรษฐกิจของประเทศ ไม่ใช่การเป็นการก้าวล่วงสิทธิของเอกชน จึงไม่ใช่การเข้าไปแทรกแซงหรือครอบงำกิจการของเอกชน อีกทั้งไม่ปรากฏว่านายทักษิณในฐานะจำเลยมีส่วนได้เสียหรือได้รับผลประโยชน์ในการเข้าปฏิบัติหน้าที่ของกระทรวงการคลัง องค์คณะผู้พิพากษาเสียงข้างมาก เห็นว่าข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่านายทักษิณในฐานะจำเลย เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายมาตรา 157 จึงพิพากษายกฟ้อง
สำหรับคดีนี้ถือเป็นคดีแรกที่ป.ป.ช. มีมติรื้อคดีขึ้นมาพิจารณาลับหลังจำเลย หลังพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2560 ที่เปิดช่องให้ทำได้ เพื่อแก้ปัญหาจำเลยหลบหนีคดีจนต้องจำหน่ายคดีออกจากสาระบบเป็นการชั่วคราว ไม่สามารถเดินหน้าไต่สวนเอาผิดแก่จำเลยได้
ขณะที่นายพัฒนพงศ์ จันทร์เพ็ชรพูล ผู้อำนวยการสำนักคดีสำนักงานป.ป.ช. กล่าวว่า จะนำคำพิพากษากลับไปรายงานคณะกรรมการป.ป.ช. พิจารณาประกอบพยานหลักฐานที่มีเพื่อตัดสินใจว่าจะยื่นอุทธรณ์หรือไม่.-สำนักข่าวไทย
