กรุงเทพฯ 30 ก.ค.- หวั่นเลือกประธาน กกต.จากว่าที่กกต. 5 คน อาจขัดต่อกฎหมาย มาตรา 8 กำหนดมีให้ครบ 7 คน ขณะที่ มาตรา 12 เป็นกรณีดำรงตำแหน่งแล้วพ้นจากหน้าที่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากกรณีว่าที่กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ทั้ง 5 คน จะมีประชุมกันเพื่อเลือกประธาน กกต. ในวันพรุ่งนี้ (31 ก.ค.) เเหล่งข่าวระดับสูง ให้ความเห็นว่าการเดินหน้าเลือกประธาน กกต.โดยที่ยังได้ว่าที่กกต.ไม่ครบ 7 คนอาจขัดต่อเจตนารมณ์กฎหมายเนื่องจาก ตาม พ.ร.ป.กกต.มาตรา 8 วรรคหนึ่ง ระบุว่า “คณะกรรมการการเลือกตั้งประกอบด้วยกรรมการจำนวนเจ็ดคน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคำแนะนำของวุฒิสภา” ซึ่งทั้ง 7 คน จะต้องผ่านการสรรหาจากคณะกรรมการสรรหาและผ่านการคัดเลือกจากที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกา ตามมาตรา 12 วรรคหนึ่งถึงวรรคแปด ดังนั้น การที่ประธานวุฒิสภาจะนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการการเลือกตั้งครั้งแรก จึงน่าจะต้องมีว่าที่กรรมการให้ครบ 7 คน ตามมาตรา 8 ของ พ.ร.ป.กกต. ก่อน ซึ่งเป็นบทบัญญัติหลักในทุกองค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญ ด้วย
ส่วนที่อ้างว่ามาตรา 12 วรรค 9 ของ พรป.กกต. เปิดช่องให้ 5 ว่าที่กกต.เลือกประธาน กกต.ได้นั้น เห็นว่า บทบัญญัตินี้จะใช้ได้ต้องเป็นกรณีที่ประธาน กกต.ที่ได้รับการโปรดเกล้าฯ และทำหน้าที่แล้วพ้นจากตำแหน่ง ให้กรรมการที่เหลืออยู่ ซึ่งต้องมีจำนวนถึง 5 คน เลือกกันเองให้คนหนึ่งเป็นประธาน กกต. แล้วแจ้งให้วุฒิสภาทราบ แต่ถ้ามีกรรมการเหลือไม่ถึง 5 คน ก็ต้องสรรหาหรือคัดเลือกให้ได้ถึง 5 คนก่อน แล้วจึงเลือกคนหนึ่งเป็นประธาน กกต. บทบัญญัติดังกล่าวนี้เพื่อเป็นการอุดช่องว่างของกฎหมายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต ดังนั้นก่อนหน้านี้ที่นายเจษฎ์ โทณะวนิก ที่ปรึกษากรรมการร่างรัฐธรรมนูญยกประเด็นข้อกฎหมาย มาตรา 12 ขึ้นอ้าง เมื่อนำมาพิจารณาประกอบข้อกฎหมายมาตรา 8 ดังกล่าวแล้ว การจะเลือกประธานกกต.ได้จะต้องมีว่าที่กกต.ครบ 7 คนเสียก่อน จึงจะชอบด้วยเหตุผลเจตนารมณ์ของกฎหมาย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรรมการเลือกตั้ง ต่างรับทราบเรื่องปัญหาข้อกฎหมาย แต่ปฎิเสธที่จะแสดงความเห็น เนื่องจากเห็นว่าการแสดงความคิดดังกล่าว อาจถูกมองว่าเป็นเรื่องของผลประโยชน์หรือมีส่วนได้เสีย โดยเฉพาะประธาน กกต. ที่เป็นผู้รักษากฎหมาย ก็ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็น.-สำนักข่าวไทย