ภูฏาน 20 ก.ค.- นายกฯ เยี่ยมชมศูนย์แสดงสินค้า OGOP ของภูฏาน ให้ความสนใจและจะนำมาปรับใช้กับสินค้า OTOP ของไทย ขณะเดียวกัน แนะนำภูฏานพิจารณาการนำพลังงานทดแทนมาใช้ เนื่องจากมีปัญหาไฟฟ้าไม่เสถียร
“จิตตานันท์ นิกรยานนท์” ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวไทย ที่ติดตามภารกิจการเดินทางเยือนราชอาณาจักรภูฏานอย่างเป็นทางการ ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ 19 – 20 กรกฎาคม 2561 รายงานว่า ภารกิจของนายกรัฐมนตรี วันนี้ (20 ก.ค.) ซึ่งเป็นวันที่ 2 ของการเดินทางเยือนภูฏาน เริ่มด้วยการเดินทางไปที่เจดีย์อนุสรณ์สถานแห่งชาติ จุดตะเกียงเนย อธิษฐานให้ประชาชนไทยและภูฏานมีความสุข
จากนั้น เดินทางต่อไปที่ศูนย์แสดงสินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (One Gewog One Product : OGOP) โดยนายกรัฐมนตรี และนางนราพร จันทร์โอชา ภริยา ให้ความสนใจในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ และจะนำไปไปปรับใช้ในการผลิตสินค้า OTOP ของไทย โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้อุดหนุนผลิตภัณฑ์ OGOP ไปหลายอย่างด้วย
จากนั้น นายกรัฐมนตรี และภริยา ยังได้พบปะกับอาสาสมัครเพื่อนไทย จำนวน 6 คน ซึ่งปฏิบัติงานภายใต้โครงการ “Friends from Thailand” โดยส่วนใหญ่มาเป็นครูสอนวิขาต่าง ๆ อาทิ สอนภาษาไทย สอนด้านการออกแบบ ด้านประติมากรรม ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งชาวภูฏานให้ความสนใจ และมองเห็นช่องทางที่จะต่อยอดในส่วนที่ตัวเองมีอยู่
อย่างไรก็ตาม บางพื้นที่ของภูฏานยังมีปัญหาเรื่องระบบไฟฟ้าที่ไม่เสถียร ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงการนำพลังงานทดแทนมาใช้ พร้อมย้ำว่า ไม่ได้ต้องการสร้างอะไร แล้วไปกระทบกับใคร สิ่งที่ทำเพื่อประโยชน์ของประเทศเท่านั้น
จากนั้น นายกรัฐมนตรี และภริยา ได้ร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับดาโช เชริง โตบเกย์ นายกรัฐมนตรีภูฏาน และภริยา ซึ่งนายกรัฐมนตรีภูฏานได้จัดเลี้ยงเป็นการส่วนตัว ที่บ้านพักนายกรัฐมนมตรี และเวลา 16.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น นายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปสนามบินพาโร และกลับถึงประเทศไทย ในเวลา 21.50 น.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ แสดงความเป็นห่วง ที่ขณะนี้พายุเซินติญเข้าประเทศไทย และบอกว่า ได้มอบหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดูแล โดยในเรื่องของน้ำท่วม ถนนขาด ให้ดูแลประชาชน หากได้รับผลกระทบ ขณะเดียวกัน ขอให้ประชาชนเข้าใจการทำงานของรัฐบาล ที่ทำทุกอย่างเพื่อพัฒนาและปฏิรูปประเทศในทุกด้าน เพื่อให้ประชาชนมีความสุข แต่อาจจะต้องใช้เวลาบ้าง ขอให้ประชาชนเข้าใจรัฐบาล เพื่อพัฒนาประชาธิปไตยของไทยให้มีความเข้มแข็งและยั่งยืน .- สำนักข่าวไทย