กรุงเทพ 28 มิ.ย. – ศูนย์วิจัยกสิกรไทยขยับจีดีพีปีนี้โตร้อยละ 4.5 แรงส่งจากการส่งออกโตร้อยละ 8.8 ท่ามกลางสงครามการค้าโลก ฉุดต่อส่งออกไทยปีนี้ 280-420 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
นายศิวัสน์ เหลืองสมบูรณ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า นโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐมีความเป็นไปได้ที่จะยังคงดำเนินต่อเนื่องไปอีก 2-4 ปี หลังการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าคะแนนนิยมทางการเมืองจะสนับสนุนท่าทีแข็งกร้าวต่อไป หรือจะผ่อนปรนลง ซึ่งสงครามการค้าจะเป็นตัวบั่นทอนการค้าโลก และการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าการเก็บภาษีสินค้านำเข้าทั้งของจีนและสหรัฐจะมีผลลบต่อการส่งออกปีนี้ประมาณ 280-420 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสินค้าที่จะถูกกระทบ คือ แผงโซล่าเซลล์ เครื่องซักผ้า เหล็ก อลูมิเนียม เครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ พลาสติกขั้นต้น แต่ที่น่ากังวล คือ ผลกระทบปี 2562 ที่สหรัฐขู่เก็บภาษีรถนำเข้าจากยุโรปจะกระทบการส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ อุตสาหกรรมรถยนต์ และอาจเกิดการทุ่มตลาดจากสินค้าจีน โดยเฉพาะชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า ทำให้มีผลกระทบต่อการส่งออกของไทยปีหน้าเพิ่มขึ้นเป็น 4,000-4,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะกระทบให้การส่งออกปีหน้าโตร้อยละ 5
ด้านนางสาวณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล ผู้บริหารงานวิจัย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า ผลบวกจากปริมาณการค้าโลกที่ขยายตัวสูงยังเป็นแรงหนุนสำคัญต่อการส่งออกไทยให้เติบโตในระดับสูง จึงปรับประมาณการส่งออกปีนี้ขยายตัวร้อยละ 8.8 จากเดิมคาดโตร้อยละ 4.5 หลังจากการส่งออก 5 เดือนแรกโตเฉลี่ยร้อยละ 11.6 โดยเกือบครึ่งหนึ่งมาจากการส่งออกยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งยังมีแนวโน้มเติบโตดี และเป็นเหตุผลสำคัญทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยปรับประมาณการเศรษฐกิจทั้งปี 2561 มาอยู่ที่ร้อยละ 4.5 จากเดิมร้อยละ 4 บวกกับการใช้จ่ายในประเทศทั้งการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 3.5 และการบริโภคในประเทศขยายตัวร้อยละ 3.5 มีแรงส่งต่อเศรษฐกิจมากขึ้น นอกจากนี้ ปัจจัยหนุนเพิ่มเติมต่อเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังมาจากผลผลิตทางการเกษตรที่คาดว่าจะออกมามาก รวมถึงรายได้เกษตกรที่กลับมาขยายตัวเป็นบวก โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิที่ราคาปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ราคายางพาราผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว
นางสาวกาญจา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า ศูนย์วิจัยฯ อยู่ระหว่างการปรับประมาณการค่าเงินบาทสิ้นปีนี้ จากเดิมประเมินไว้ที่ 32.50-33.50 บาท/ดอลลาร์ โดยมองว่ามีโอกาสอ่อนค่ากว่าที่ประเมินไว้ ซึ่งเงินบาทถือว่าอ่อนค่าน้อยกว่าสกุลอื่น ๆ ในเอเชียประมาณร้อยละ 1.3 จากสิ้นปีก่อน เนื่องจากนักลงทุนยังกังวลสงครามการค้าส่งผลให้เทขายสินทรัพย์ในตลาดเกิดใหม่ เพื่อลดความเสี่ยง
ส่วนการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในช่วงปลายปีนี้คาดว่าอาจจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จากปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ1.50 เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีการขึ้นดอกเบี้ยไปก่อนหน้านี้แล้ว .-สำนักข่าวไทย