ม.รังสิต คงจีดีพีปีนี้โต 4.1-4.7

กรุงเทพฯ 24 มิ.ย.- ม.รังสิต คงจีดีพีปีนี้โตร้อยละ 4.1-4.7  คาด เงินบาท จะอ่อนค่าแตะระดับ 33.50-34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในไตรมาส 3  ส่วนของเงินบาท มีความเสี่ยงต่ำที่จะถูกโจมตี


นายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยว่า คณะเศรษฐศาสตร์ฯ ยังไม่ปรับคาดการณ์ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(จีดีพี)ปีนี้ ยังคงไว้ที่โตร้อยละ 4.1-4.7  เงินเฟ้อขยับขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 1.0-1.5 การลงทุนภาคเอกชนน่าจะขยายตัวได้ในระดับร้อยละ 3-4  แต่การลงทุนเอกชนจะชะลอตัวลงทันที หากไม่มีการเลือกตั้งหรือกลับคืนสู่ประชาธิปไตยได้ในช่วงต้นปีหน้า การบริโภคเอกชนจะขยายตัวได้ในระดับร้อยละ 3 การลดลงของสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีของไทยไม่ได้ส่งผลให้ภาคบริโภคกระเตื้องขึ้นมากนัก

“แต่การขยายตัวทางเศรษฐกิจไทย ยังมีลักษณะเป็นการเติบโตที่ยังกระจุกตัวในการผลิตสินค้าเพื่อส่งออกของบรรษัทข้ามชาติที่ใช้เทคโนโลยีและทุนเข้มข้น แต่รายได้และผลประโยชน์ยังไม่กระจายมายังกิจการขนาดกลางและขนาดเล็กและประชาชนโดยทั่วไปมากนัก ประกอบกับราคาสินค้าเกษตรบางตัวปรับตัวลดลงมากทำให้กำลังซื้อในภาคชนบทไม่ดีนัก” นายอนุสรณ์ กล่าว 


สำหรับผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่มีผลระยะสั้นและระยะปานกลาง ยังคงมีทั้งผลทั้งด้านบวกและลบต่อภาคส่งออกของไทย ซึ่งหากสงครามการค้ายืดเยื้อ จะเกิดความเสียหายต่อปริมาณการค้าโลกและกระทบสุทธิต่อภาคส่งออกไทยปีนี้ให้เป็นลบได้ 

 ด้านเงินบาท มีความเสี่ยงต่ำที่จะถูกโจมตี เพราะไทยมีทุนสำรองระหว่างประเทศในระดับสูง เงินเฟ้อต่ำและยังคงเกินดุลการค้าและเกินดุลบัญชีเดินสะพัด แต่ยังต้องเผชิญกระแสเงินทุนระยะสั้นไหลออกอีกระยะหนึ่ง ซึ่งเป็นผลจากการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐ  โดยอาจทำให้เงินบาทอ่อนค่าแตะระดับ 33.50-34.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในไตรมาส 3 ได้ แต่เงินบาทที่อ่อนค่าลงส่งผลดีต่อภาคส่งออกไม่มากนัก เพราะยังมีความผันผวนสูง ซึ่งค่าเงินกลุ่มประเทศคู่แข่งใน Emerging Markets ก็ปรับตัวอ่อนค่าเช่นกัน แต่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ยังไม่จำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และหากอัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้น เศรษฐกิจฟื้นตัวชัดเจน เงินยังคงไหลออกจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย ถึงตอนนั้น อาจต้องพิจารณาในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงปลายปี

ด้านปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มองว่า ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ การปรับตัวลดลงและการปรับฐานราคาครั้งใหญ่ของราคาหุ้น เป็นผลจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ การทำ QE Exit และ ความวิตกกังวลเรื่องสงครามการค้า


นายอนุสรณ์ กล่าวว่า ความวิตกกังวลเรื่องสงครามการค้า  ส่งผลให้ต่างชาติขายหุ้นไทยสุทธิไปแล้ว 165,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงมากในช่วงสองไตรมาสแรกของปีนี้ หากรวมยอดขายสะสมสุทธิที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2556  มียอดสะสมสูงถึง 498,000 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้นักลงทุนต่างชาติมีน้ำหนักหุ้นไทยเฉลี่ยที่ร้อยละ 2.8 ซึ่งใกล้เคียงกับน้ำหนักหุ้นไทยใน MSCI Asia ex. Japan Index ที่ร้อยละ 2.6 ซึ่งแรงขายเพิ่มเติมจะเกิดจากการลดน้ำหนักการลงทุนของกองทุนต่างชาติในตลาดเกิดใหม่ ส่วนปัจจัยภายในของไทยที่กระตุ้นแรงเทขาย คือ ความไม่แน่นอนทางการเมือง ความเสี่ยงทางการเมืองมากกว่าปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ .-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

เพลิงไหม้โรงอบลำไย อ.แม่สรวย จ.เชียงราย

เพลิงไหม้โรงงานอบลำไย อ.แม่สรวย จ.เชียงราย เจ้าหน้าที่เร่งนำรถดับเพลิงเข้าระงับเหตุ เพื่อควบคุมเพลิงไม่ให้ลุกลามไปยังพื้นที่ใกล้เคียง เบื้องต้นยังไม่สามารถประเมินความเสียหายได้

พุ่งไม่หยุดราคาทองคำโลกนิวไฮอีก คาดไปต่อถึง 3 พันดอลลาร์/ออนซ์

ราคาทองคำตลาดโลกพุ่งแตะ 2,800 ดอลลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ นักวิเคราะห์คาดมีโอกาสพุ่งต่อถึง 3,000 ดอลลาร์/ออนซ์ ส่งผลราคาทองไทยวันนี้ขึ้นต่อจากราคาปิดวานนี้ และทำนิวไฮเท่าวานนี้

ข่าวแนะนำ

ศึกชิงทำเนียบขาว 2024 : คอมมาลา แฮร์ริส

รายงานศึกชิงทำเนียบขาว 2024 พาไปรู้จักกับนางคอมมาลา แฮร์ริส ที่เพิ่งได้เป็นตัวแทนพรรคเดโมแครต ไม่กี่เดือนก่อนเลือกตั้ง เปรียบเหมือนการเปลี่ยนม้าใหม่กลางศึก หากชนะได้เธอจะกลายเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของสหรัฐด้วย

เปิดโครงการ “เดิน วิ่ง ปั่น ป้องกันอัมพาต” ครั้งที่ 10

นายกฯ ควง “คุณหญิงพจมาน-ครอบครัว” นำ ครม.-ประชาชน ร่วมโครงการเดิน วิ่ง ปั่น ป้องกันอัมพาต ครั้งที่ 10 เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

สาว อบต.ตกใจ ตำรวจตามรอยเงิน 39 ล้านบาท ที่แท้ชื่อซ้ำกัน

สาว อบต. ตกใจ ตำรวจมาถึงที่ทำงาน ถามถึงเงิน 39 ล้านบาท ที่แท้ชื่อซ้ำกัน ยันไม่เคยรู้จัก “มาดามอ้อย-ทนายตั้ม” มาก่อน